“ดีอี” เร่งขับเคลื่อน “ภูเก็ตทินิคอนวัลเลย์” เมืองอัจฉริยะ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

กระทรวงดีอี เร่งเดินหน้าโครงการ “ภูเก็ตทินิคอนวัลเลย์” เมืองอัจฉริยะใหม่พร้อมต่ออายุอีก 16 เมืองทั่วไทย สู่เป้าหมายพัฒนา Smart City ภายในปี 70 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (27 สิงหาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ได้รับรองตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะแห่งใหม่ของจังหวัดภูเก็ตในชื่อโครงการ “ภูเก็ตทินิคอนวัลเลย์” เพิ่ม 1 เมือง และต่ออายุตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะ 16 เมือง รวมปัจจุบันมีเมืองอัจฉริยะ 37 เมืองใน 16 จังหวัดจากทุกภูมิภาคของประเทศไทย พร้อมเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ 105 เมือง ภายในปี 2570 ตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

สำหรับเมืองที่จะผ่านเกณฑ์การประเมินการต่ออายุตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะได้ ต้องเป็นเมืองที่มีความคืบหน้าในการดำเนินงานตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป จึงจะได้รับการต่ออายุการเป็นเมืองอัจฉริยะ อีก 2 ปี โดย 16 เมืองที่ได้รับการต่ออายุตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะ ได้แก่ 1.) แม่เมาะเมืองน่าอยู่ จ.ลำปาง 2.) คลองผดุงกรุงเกษม กรุงเทพมหานคร 3.) ยะลาเมืองอัจฉริยะเพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน 4.) สามย่านสมาร์ทซิตี้ กรุงเทพมหานคร 5.) ขอนแก่นเมืองอัจฉริยะ

6.) เมืองอัจฉริยะวังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง 7.) นครเชียงรายสู่เมืองอัจฉริยะ 8.) ภูเก็ตเมืองอัจฉริยะ 9.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมืองอัจฉริยะ 10.) เมืองศรีตรัง 11.) โคราชเมืองอัจฉริยะ 12.) แสนสุขสมาร์ทซิตี้ จ.ชลบุรี 13.) เมืองน่านสู่เมืองอัจฉริยะ 14.) การพัฒนาเมืองเก่าอย่างชาญฉลาด 15.) กระบี่เมืองอัจฉริยะ และ 16.) ฉะเชิงเทรา เมืองน่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน ซึ่งเมืองอัจฉริยะ 4 เมืองแรก เป็นเมืองที่มีความคืบหน้ามากกว่าร้อยละ 80 ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ได้มีการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนมากกว่า 3.09 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดำเนินการส่งเสริมศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะฯ ให้เป็น Smart Government Complex ซึ่งศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะฯ เป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการหลายกระทรวง มีบุคลากรประจำกว่า 35,000 คน และมีประชาชนสัญจรเข้าออกมากกว่า 50,000 คนต่อวัน จึงถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็น Smart City Sandbox  ทั้งนี้ หากสามารถดำเนินการตามแนวคิดดังกล่าวได้ จะช่วยยกระดับพื้นที่ราชการให้เป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะ โดยนำเทคโนโลยีมาประยุกต์แก้ไขปัญหาสำคัญ เช่น การจัดการระบบจราจร การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การพัฒนาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเป็นแหล่งองค์ความรู้และการทดลองนวัตกรรมดิจิทัลที่สามารถขยายผลการพัฒนาเมืองอัจฉริยะสู่เมืองอื่น ๆ ต่อไปได้

โดยการดำเนินการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยและชาญฉลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการและการบริหารจัดการเมือง ลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากรของเมืองและประชากรเป้าหมาย โดยเน้นการออกแบบที่ดี และการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชนในการพัฒนาเมือง ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข อย่างยั่งยืน  มีมิติการพัฒนาที่สำคัญ 7 ด้านคือ

1.) สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) 2.) การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) 3.) การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) 4.) พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) 5) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) 6.) เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy)  7.) การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance)

โดยการพัฒนาเมืองอัจฉริยะนี้ จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การจ้างงานใหม่ และคุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้ง ยังช่วยสร้างความยั่งยืนทางสังคมด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาของเมือง จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญของการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาที่ยั่งยืน

Back to top button