BGRIM เด้ง 3% “เคจีไอ” ชูเป้า 14 บาท ลุ้นงบครึ่งปีหลังแจ่ม – ดอกเบี้ยลดฉุดต้นทุนต่ำ

BGRIM ดีดบวก 3% แย้มผลงานครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งแรก จากการทยอย COD โครงการใหม่ต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนก๊าซปรับลดลง “บล.เคจีไอ” แนะซื้อเป้า 14 บาท ชี้ Valuation ยังน่าสนใจ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ส.ค.68) บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ณ เวลา 10:13 น. อยู่ที่ระดับ 12.20 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 3.39% สูงสุดที่ระดับ 12.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 12.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 80.09 ล้านบาท

นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารงานการเงินและบัญชี BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก หลัก ๆ มาจากการทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ARECO ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ กำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ (MW), โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Nakwol ในสาธารณรัฐเกาหลี ที่จะเริ่ม COD ปีนี้ประมาณ 100 เมกะวัตต์ และจะ COD เต็มปีในปี 2569

ส่วนที่เหลือจะเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” ในประเทศไทย 80 เมกะวัตต์ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386” ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อีกกว่า 10 เมกะวัตต์

ขณะเดียวกันยังมีปริมาณขายไฟฟ้าของลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม (IU) เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้อีกกว่า 30 เมกะวัตต์ รวมถึงยังมองว่าภายหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศภาษีนำเข้าสำหรับประเทศไทยที่ 19% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้แนวโน้มลูกค้าในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะกลับมา โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ที่เห็นสัญญาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเนื่องจากทางภาครัฐมีนโยบายการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ด้วย ประกอบกับผลกระทบของลูกค้าที่ส่งสินค้าตรงไปยังสหรัฐฯ ก็มีค่อนข้างจำกัดอยู่ที่ประมาณ 5% จึงไม่ได้มีผลกระทบมากนัก

อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับลูกค้า IU โดยเฉพาะในกลุ่มที่จะหมดสัญญาและลูกค้าใหม่ เป็นสูตรค่าไฟใหม่เพื่อส่งผ่านต้นทุนค่าไฟไปยังกลุ่มลูกค้าดังกล่าว คาดว่าน่าจะเริ่มทยอยเจรจา จะเห็นผลในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า

ทั้งนี้ แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 310-330 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าในกลุ่ม data center ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่นับว่าเป็นโอกาสของกลุ่มบริษัทในการจัดหาไฟฟ้าป้อนกลุ่ม data center ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่ม data center คาดมีการเซ็นสัญญาประมาณ 2-3 ราย อย่างไรก็ตามในส่วนของประเทศ ก็จะได้รับผลดีจากการเข้ามาลงทุนของกลุ่ม data center เช่นกัน ประเมินในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศยังเพียงพอ แต่ในระยะยาว 5-10 ปี หากธุรกิจเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ก็ต้องดูปริมาณสำรองไฟฟ้าในประเทศจะมีเพียงพอหรือไม่

สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าในเวียดนามของกลุ่มบริษัท ที่ผ่านมาได้มีการหารือร่วมกับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) เกี่ยวกับโครงสร้างค่าไฟ และยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด น่าจะมีสัญญาณที่ดีในการเจรจา อย่างไรก็ตามยังคงรอการประกาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งน่าจะจบภายในปีนี้ ปัจจุบันโครงการของกลุ่มบริษัทยังรับรู้รายได้ 100% แต่หากสุดท้ายแล้วเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุด (worst case) ต้องกลับมาดูในเรื่องของกระแสเงินสดที่รับในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร คาดว่าอาจมีบางส่วนที่ต้องด้อยค่า และคาดว่าผลกระทบอาจจะไม่มีการปรับย้อนหลัง และมั่นใจว่าแม้ในกรณี work case หรือมีการปรับลดค่าไฟที่เวียดนามทางโครงการยังสามารถที่จะชำระหนี้และดอกเบี้ยให้กับทางธนาคารได้ตามกำหนด

นางสาวศิริวงศ์ กล่าวอีกว่า ความคืบหน้าความร่วมมือระหว่าง BGRIM กับบริษัท ดิจิทัล เอดจ์ (สิงคโปร์) โฮลดิ้งส์ จำกัด (ดิจิทัล เอดจ์) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ชั้นนำในเอเชียภายใต้ Digital Edge B.Grimm (TH) Holding Pte. Ltd, (BGRIM ถือหุ้นสัดส่วน 40%) เพื่อพัฒนาศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ไฮเปอร์สเกล ขนาด 96 เมกะวัตต์ มูลค่า 24,520 ล้านบาท ในเขต EEC

โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับผู้ให้บริการ AI และคลาวด์ที่ต้องการขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเป็นไปตามแผน ทั้งนี้โครงการร่วมทุนดังกล่าว จะเริ่มโครงการด้วย 100 เมกะวัตต์ และมีแผนขยายความร่วมมือเป็น 300 เมกะวัตต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 80,000-100,000 ล้านบาท

ส่วนมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ล่าสุดได้อนุมัติการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2566 – 2573 (การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมฯ) โดยในส่วนของโครงการพลังงานลม มีโครงการของกลุ่มบริษัทที่ผ่านในรอบแรก รวม 16 เมกะวัตต์ ที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) คาดว่าจะมีการลงนามสัญญา PPA ต่อไป

ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่ากำไรของ BGRIM ในปี 2568-2570 ฟื้นตัวเฉลี่ย 17% บนสมมติฐานการ COD โครงการ Nakwol1 ขนาด 179 เมกะวัตต์ (Equity  MW) เต็มโครงการในปี 2569 และอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น จากต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซลดลงในปี 2569-2570 ไปอยู่ที่ 302 บาทต่อล้านบีทียู และ 281 บาทต่อล้านบีทียู (เทียบกับปีนี้  330 บาทต่อล้านบีทียู)

ดังนั้นคงประมาณการและคำแนะนำ Neutral บนราคาเป้าหมายเดิม 11.20 บาท  โดยมอง BGRIM อยู่ในจังหวะรอการฟื้นตัวในปีหน้า คาดว่าจะเห็นความชัดเจนจากปัจจัย เช่น การเลื่อน COD โครงการ Nakwol 1บางส่วน, การปรับตัวลงของ Volume ขายไฟ IU และประเด็นการปรับลดค่าไฟของ EVN ในเวียดนาม

ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยบทวิเคราะห์ก่อนหน้านี้แนะนำหุ้น BGRIM โดยให้ราคาเป้าหมายพื้นฐานที่ 14 บาทต่อหุ้น พร้อมประเมินทิศทางราคาหุ้นเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway Up โดยมีแนวรับที่ 12.1 บาท แนวต้านในกรอบที่ 13.0–13.5 บาท หากสามารถผ่านกรอบแนวต้านดังกล่าวได้ คาดแนวต้านถัดไปอยู่ที่ประมาณ 14 บาท พร้อมวางจุดตัดขาดทุน (Stop loss) ที่ 11.6 บาท

ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจเวียดนามที่ขยายตัวโดดเด่น รวมถึง Sentiment เชิงบวกจากการเปิดประมูลโครงการใหม่ ๆ โดยคาดว่า BGRIM จะเข้าร่วมการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ เขื่อนศรีนครินทร์ 3 ขนาดกำลังการผลิต 280 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงยังถือเป็นแรงหนุนต่อทิศทางการลงทุน

ด้านมูลค่าหุ้น (Valuation) ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยมีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ที่ 0.9 เท่า และอัตราส่วนราคาต่อกำไร (Forward P/E) ที่ 15.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -2SD ที่ 18.5 เท่า สะท้อนความคุ้มค่าในการลงทุน

Back to top button