
ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ฟีเวอร์! เทรนด์ค้าปลีกมาแรง รายได้ทะลุหมื่นล้าน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย “ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ” ดาวรุ่งค้าปลีกไทย รายได้พุ่งแตะ 10,156 ล้านบาท โตแรง 34.74% ตอกย้ำศักยภาพตลาดขยายตัวต่อเนื่อง หนุนด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย ซื้อได้ 24 ชั่วโมง พร้อมดึงลงทุนต่างชาติทะลุ 619 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ส.ค.68) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า บทวิเคราะห์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกสบาย เข้าถึงสินค้าได้ 24 ชั่วโมง และรองรับการชำระเงินหลากหลายช่องทาง โดยธุรกิจสามารถสร้างรายได้กว่า 10,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ขยายตัวถึง 34.74% จากปี 2566 ตอกย้ำศักยภาพของตลาดค้าปลีกยุคใหม่
ปัจจุบันมีนิติบุคคลประกอบธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติรวม 760 ราย ทุนจดทะเบียน 5,962 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) คิดเป็น 95% ทุนจดทะเบียน 1,800 ล้านบาท ขณะที่ ธุรกิจขนาดกลาง (M) จำนวน 30 ราย หรือ 3.95% ทุนจดทะเบียน 2,303 ล้านบาท และธุรกิจขนาดใหญ่ (L) จำนวน 6 ราย หรือ 0.79% ทุนจดทะเบียน 1,860 ล้านบาท โดยในปี 2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 86 ราย เพิ่มขึ้น 56.36% จากปีก่อนหน้า และในช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 (มกราคม–กรกฎาคม) มีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มอีก 13 ราย ราย ทุนจดทะเบียน 15.56 ล้านบาท
ด้านการลงทุนจากต่างชาติรวมกว่า 619 ล้านบาท หรือ 10.38% ของการลงทุนในธุรกิจนี้ โดยนักลงทุนจาก ฮ่องกง นำโด่งด้วยมูลค่า 455 ล้านบาท ตามด้วยหมู่เกาะเคย์แมน 76 ล้านบาท และออสเตรีย 27 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการ ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติในปี 2567 ทำรายได้รวม 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 7,538 ล้านบาทในปี 2566 ขยายตัวถึง 34.74% โดยกำไรอยู่ที่ 10.15 ล้านบาท แม้จะต่ำกว่าปีก่อน แต่ยังสะท้อนความต้องการของตลาดที่ขยายตัวชัดเจน
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจนี้มักกระจุกตัวในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และศูนย์เศรษฐกิจสำคัญ โดยนิยมติดตั้งตู้ในห้างสรรพสินค้า สำนักงาน คอนโดมิเนียม ปั๊มน้ำมัน สถานีรถไฟฟ้า และโรงพยาบาล ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เลือกชำระผ่าน QR Code มากที่สุด รองลงมาเป็นเงินสด สะท้อนแนวโน้มก้าวสู่ สังคมไร้เงินสด ของไทย
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโต ได้แก่ เงินลงทุนไม่สูง สามารถดำเนินธุรกิจได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ลงทุนเอง ซื้อแฟรนไชส์ เช่าเครื่อง หรือร่วมลงทุน อีกทั้งไม่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุด นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดด้วยเทคโนโลยีใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบชำระเงินดิจิทัล และการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
“ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันกับความต้องการของลูกค้า เน้นคุณภาพสินค้า จัดโปรโมชันหรือระบบสมาชิก กระตุ้นการซื้อซ้ำ เลือกทำเลที่เหมาะสม พร้อมสร้างนวัตกรรมบริการใหม่ เช่น อาหารสุขภาพ ผลไม้สด หรือสินค้าเฉพาะกลุ่ม เพื่อเสริมความยั่งยืนในอนาคต” อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวทิ้งท้าย