
MTC เด้ง 3% รับดอกเบี้ยขาลงครึ่งปีหลัง โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 56 บาท
MTC เด้ง 3% โบรกเกอร์มองบวก คาด Credit cost ลดลงต่อเนื่อง พร้อมแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยขาลงในครึ่งปีหลัง หลังรายงานกำไรไตรมาส 2/2568 โต 14% จากปีก่อน พร้อมสินเชื่อขยายตัวและคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 56 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (2 ก.ย. 68) ราคาหุ้น บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ณ เวลา 10:37 น. อยู่ที่ระดับ 37.75 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 2.72% สูงสุดที่ระดับ 38.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 36.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 107.85 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่าต่อกรณีของ MTC ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ออกมาตามคาดพร้อม Credit cost และ NPLs ที่อยู่ในระดับต่ำ
MTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 1.65 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายนักวิเคราะห์และตลาดคาด ทั้งนี้การเติบโตของสินเชื่อยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และ 4.3% จากไตรมาสก่อน ในขณะที่ต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ (Credit Cost) อยู่ในระดับที่เอื้ออำนวยที่ 2.48% ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดและตลาดคาด
ในภาพรวบคุณภาพสินทรัพย์ดีกว่าที่เราคาดเล็กน้อยจากสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพ ( NPL ratio) ที่ลดลงจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 2.62% อัตราการก่อตัวของหนี้ด้วยคุณภาพที่ทรงตัวที่ 233bp เทียบกับ 244bp ในปี 2567 และจุดสูงสุดที่ 393bp ในไตรมาส 4/2565 และสัดส่วนไตรมาส 4/2565 และสัดส่วนสำรองต่อหนี้ด้อยคุณภาพที่สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนเป็น 139%
ต้นทุนในการกู้ยืมอยู่ที่ 4.60% (-4bp จากไตรมาสก่อนหน้า) ดีกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4.63% อยู่เล็กน้อยซึ่งทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าประเด็นการประหยัดต้นทุนในการกู้ยืมในครึ่งหลังปี 2568 ยังคงอยู่จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง กำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรก คิดเป้น 45.4% ของประมาณการทั้งปี
ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และเลือก MTC เป็นหุ้นเด่น โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2568 อยู่ที่ 56 บาท (GGM เทียบค่า PBV ที่ 2.74 เท่า โดยอิง ROE ที่ 17.5% และ COE ที่ 10.2%) โดยเชื่อว่า MTC มีแนวโน้มฟื้นตัวจากสินเชื่อที่โตต่อเนื่อง พร้อมโอกาสในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น การควบคุมต้นทุนทางการเงิน (Funding cost) ที่ดีขึ้น และ Credit cost ที่ลดลง รวมถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง