
พาราสาวะถี
ย้ำแล้วย้ำอีกขึ้นชื่อ “นิติสงคราม” อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น กรณีศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเรื่องร้องที่ นายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว.และ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เสนอให้รัฐสภาพิจารณามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ
ย้ำแล้วย้ำอีกขึ้นชื่อ “นิติสงคราม” อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น กรณีศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเรื่องร้องที่ นายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว.และ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เสนอให้รัฐสภาพิจารณามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่ และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการลงประชามติ ผลที่ออกมาจะไม่ให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์คงยาก
เมื่อการชี้ขาดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากชี้ว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่ม หรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชน ออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน ทั้งนี้ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่ง รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
คำถามก็คือ ประเด็นรัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึงสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.นั่นเอง โดยในประเด็นดังกล่าว ไม่ใช่ประเด็นที่รัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เมื่อมีคำชี้ขาดออกมาแล้วย่อมมีผลผูกพันทุกองค์กร ทุกฝ่าย นั่นหมายความว่า การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ทำให้ความตั้งใจของหลายพรรคการเมืองที่จะให้ประชาชนเลือก ส.ส.ร.มาร่างรัฐธรรมนูญไม่อาจเกิดขึ้นได้
ไม่เพียงเท่านั้น ก็เท่ากับว่า ข้อตกลงหรือ MOA ระหว่างพรรคประชาชนกับ อนุทิน ชาญวีรกูล ในเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยมี ส.ส.ร.ก็มีอันตกไป โดยสภาพเมื่อเป็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ผิดคำสัญญา ขณะที่บทพิสูจน์ความจริงใจในการขับเคลื่อนตามข้อตกลงนั้น อย่างแรกก็จะ มองผ่านการเตรียมพร้อมเพื่อเดินหน้าทำประชามติ ในที่นี้เพื่อให้ประหยัดงบประมาณ รัฐบาลคงเลือกทำแค่ 2 ครั้ง
โดย รวบเอาครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เข้าไว้ด้วยกัน ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็คือ ครั้งแรก ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร ขณะที่ครั้งที่ 3 ซึ่งเมื่อรวบสองครั้งแรกแล้ว ก็จะกลายเป็นครั้งที่สอง จะให้ประชาชนออกเสียงประชามติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่รัฐสภาจัดทำร่างเสร็จแล้วหรือไม่
ประเด็นที่น่าสนใจต่อมา การที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ว่า เป็นอำนาจของรัฐสภาในการที่จะแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ แต่ต้องทำประชามติก่อนนั้น จะมีใครตั้งข้อกังขาอีกหรือไม่ว่า กระบวนการในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของรัฐสภา ที่จะต้องดำเนินไปในรูปแบบของการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณานั้น จะต้องเป็นสมาชิกรัฐสภาคือ สส.และ สว.เท่านั้น หรือสามารถตั้งบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมเป็นกรรมาธิการได้ ถ้าไม่ยุติในเรื่องนี้ก็จะเป็นเหตุให้เกิดการยื้อเวลากันออกไปได้
กรณีอาจมีทางเลี่ยงเพื่อให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้ ความสามารถ ได้เข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด อาจจะต้องมีการตั้งที่ปรึกษาขึ้นมาช่วยพิจารณาให้จำนวนมาก แต่การดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมายทั้งหมด ให้อยู่ในการพิจารณาและลงมติโดยสมาชิกรัฐสภาเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาจากบรรดาพวกนักร้องทั้งหลาย ต้องยอมรับกันว่าเมื่อเกิดการใช้นิติสงคราม เป็นเหตุให้บรรดา สส.-สว.ทั้งหลายไม่กล้าที่จะใช้อำนาจของตัวเองอย่างเต็มที่
ชัดเจนจากความเห็นของ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าที่ชี้ว่า ผลการวินิจฉัยที่ออกมา เสมือนเป็นการประกาศว่า ศาลรัฐธรรมนูญคือ “ผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” เสียเอง มากไปกว่านั้นทั้งที่สมาชิกรัฐสภา ซึ่งเป็นผู้ทรงอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 256 อยู่แล้ว จะส่งเรื่องไปถามศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนยื่นดาบให้ทำไม ก็บอกแล้วว่านี่เป็นผลพวงของฤทธิ์เดชจากนิติสงครามที่ถูกสถาปนาโดยเผด็จการสืบทอดอำนาจ
ยังคงมีเรื่องรอให้ถกเถียงกันอีกบานตะไทแน่ ๆ เมื่อแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปในทิศทางนี้ ซึ่งความเห็นของปิยบุตรก็ชวนให้คิด และน่าจะลงเอยเช่นนั้นจริง นั่นก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (หากเกิดขึ้นจริง) ย่อมไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยแท้ มันคงเป็นได้แค่เพียง รัฐธรรมนูญส่วนต่อขยายหรือส่วนแก้ไขภายใต้บ้านของรัฐธรรมนูญ 2560 เท่านั้น ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่แท้จริง โดยการสถาปนาจากอำนาจของประชาชน คำตอบอยู่ในสายลม
ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซี ที่เกาะกง ของเขมร ฟัง พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกลาโหมคนใหม่ชี้แจง เรื่องเปิดด่านเป็นบางจุด บางช่วงเริ่มที่จันทบุรีและตราด ด้วยการร้องขอมาจากประเทศที่ 3 ซึ่งก็คือญี่ปุ่นนั่นเอง แถมคำขู่ถ้าไม่ทำตามอาจจะย้ายฐานการผลิต นี่คือแรงกดดันบิ๊กเล็กต้องทำใจต่อการเจอกระแสตีกลับ กล่าวหาท่าทีเปลี่ยนไปจากก่อนหน้า นั่นเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า ฮุน เซน จะทำตามข้อตกลงที่คุยกันไว้ ทั้งถอนอาวุธหนัก ร่วมกู้ทุ่นระเบิด และปราบสแกมเมอร์ เพราะคนในกองทัพบอกกับประชาชนเอง เขมรไว้ใจไม่ได้
อรชุน