
WTI ปิดบวก 1.22 เหรียญ หลัง “ยูเครน” โจมตีโรงกลั่นรัสเซีย เสี่ยงซัพพลายสะดุด
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวก 1.22 ดอลลาร์ หรือ 1.93% ปิดที่ระดับ 64.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังยูเครนเดินหน้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลังงานของรัสเซีย ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าอุปทานน้ำมันโลกอาจเผชิญภาวะตึงตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันอังคารที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัว หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีท่าเรือและโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียโดยกองทัพยูเครน ขณะเดียวกันนักลงทุนยังจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้ (17 ก.ย.)
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนตุลาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.22 ดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1.93% ปิดที่ระดับ 64.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ปรับเพิ่มขึ้น 1.03 ดอลลาร์ หรือ 1.53% ปิดที่ 68.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แหล่งข่าวจากแวดวงอุตสาหกรรมน้ำมันเปิดเผยว่า บริษัททรานสเนฟท์ (Transneft) ผู้ให้บริการระบบท่อส่งน้ำมันของรัสเซีย ซึ่งมีลักษณะเป็นผู้ผูกขาดในประเทศ ได้แจ้งเตือนบรรดาผู้ผลิตน้ำมันภายในประเทศว่าอาจต้องลดกำลังการผลิตลง หลังจากยูเครนเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีท่าเรือส่งออกและโรงกลั่นน้ำมันที่สำคัญของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การโจมตีของยูเครนส่งผลให้ท่าเรือพริมอร์สก์ (Primorsk) ซึ่งเป็นท่าเรือส่งออกน้ำมันขนาดใหญ่ของรัสเซียต้องหยุดชะงักลง โดยนักวิเคราะห์จากธนาคาร JP Morgan ระบุว่า การโจมตีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดความสามารถของรัสเซียในการส่งออกน้ำมันไปยังต่างประเทศ พร้อมทั้งสร้างความปั่นป่วนในตลาดพลังงานโลก ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในระยะต่อไป
ด้านนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ประเมินว่า ความเสียหายจากการโจมตีดังกล่าวส่งผลให้กำลังการกลั่นน้ำมันของรัสเซียหายไปประมาณ 300,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคม
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดีเซลของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าสัญญาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันเบนซิน โดยนักวิเคราะห์จาก StoneX Energy ให้ความเห็นว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในรัสเซียอาจนำไปสู่ภาวะอุปทานที่ตึงตัวมากขึ้นในตลาดดีเซลของสหรัฐฯ
ในอีกด้านหนึ่ง นักลงทุนยังคงจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้ (17 ก.ย.) ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากเป็นไปตามคาด อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอุปสงค์ด้านพลังงานในระยะถัดไป
พร้อมกันนี้ ตลาดยังให้ความสนใจกับรายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันเดียวกัน
