MILL เพิ่มทุน…ฟื้นผลิต

การที่หุ้นเหล็ก MILL ของ “เฮียสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล” ประกาศเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP คงไม่เซอร์ไพรส์อะไร...เพราะอยู่ในแผนที่แจ้งไว้ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว...


การที่หุ้นเหล็กบริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ของ “เฮียสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล” ประกาศเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 792 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 10% ที่ราคาหุ้นละ 0.08 บาทนั้น คงไม่เซอร์ไพรส์อะไร…เพราะอยู่ในแผนที่แจ้งไว้ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว…

แต่ที่เซอร์ไพรส์และฮือฮาเห็นจะเป็นรายชื่อผู้ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน PP นี่แหละ ซึ่งมี 2 รายด้วยกัน…รายแรกเป็นนิติบุคคลที่ชื่อ บริษัท อินดัสเตรียลล์ เบเทลิกุง (ประเทศไทย) จํากัด โดยได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 430 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.08 บาท คิดเป็นมูลค่า 34.40 ล้านบาท

ถ้าไปส่องแบ็กกราวนด์ของบริษัทนี้ เป็นบริษัทที่จัดตั้งตั้งแต่ปี 2552 ด้วยทุนจดทะเบียน 455.50 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจขายส่งขายปลีก ให้บริการส่งออกเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์อะไหล่ต่าง ๆ โดยมี “วิไล ปากาโน” และ “คาร์โล ปากาโน” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

แต่เชื่อว่าระหว่าง “อินดัสเตรียลล์ เบเทลิกุงฯ” กับ MILL ไม่น่าจะใช่คนแปลกหน้ากันนะ…เพราะมีข้อมูลว่าช่วงปี 2556 “อินดัสเตรียลล์ เบเทลิกุง (ประเทศไทย)” เคยเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP ของ MILL มาแล้ว โดยครั้งนั้นซื้อจำนวน 78.81 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 2.03 บาท คิดเป็นมูลค่า 160 ล้านบาท…ส่วนขายไปตอนไหน อันนี้ไม่รู้

ผ่านมา 10 กว่าปี ก็มาซื้ออีกรอบ…ไม่รู้ติดอกติดใจอะไรใน MILL นักหนา…

ส่วนอีกคนที่มาซื้อหุ้นเพิ่มทุนรอบนี้ เป็น “วรพจน์ อํานวยพล” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 360 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.08 บาท คิดเป็นมูลค่า 28.80 ล้านบาท โอเค…เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับ SKY หรอก แต่เกี่ยวกับตัวบุคคลมากกว่า…

ที่จริง “วรพจน์” ถือหุ้น MILL อยู่แล้ว โดยเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 7 ในสัดส่วน 3.41% แต่ก็น่าสนใจกับการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP อีก 360 ล้านหุ้น ซึ่งจะทำให้เขาขยับขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 3 ด้วยสัดส่วน 7.23% ทันที

แหม๊..ชักอยากรู้แล้วสิว่า “วรพจน์” กับ “อินดัสเตรียลล์ เบเทลิกุงฯ” เห็นโอกาสอะไรจากตรงนี้จึงยอมควักเงินคนละ 30-40 ล้านบาท มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน PP ของ MILL

เพราะถ้าดูราคาเพิ่มทุนที่ 0.08 บาท ก็เท่ากับราคาในกระดานนะ…ไม่มีดิสเคานต์เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดวิสัย เพราะโดยปกติการเพิ่มทุนแบบ PP มักจะให้ดิสเคานต์ บางบริษัทให้ 10% หรือ 20% หรือ 30% ก็มีนะ แล้วแต่กรณี แต่เคสนี้ไม่มีแฮะ…

แสดงว่าทั้งสองรายต้องเห็นลู่ทางหรือเห็นอะไรดี ๆ แหละ…

ว่าไปแล้วงบการเงินของ MILL ก็ไม่ได้ดีเด่อะไร…ขาดทุนมาหลายปีแล้ว โดยในปี 2566 มีรายได้รวม 19,135.10 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 940.89 ล้านบาท ส่วนปี 2567 รายได้รวมลดวูบเหลือแค่ 3,335.79 ล้านบาท แต่ขาดทุนสุทธิเพิ่มเป็น 6,027.43 ล้านบาท ขณะที่งวดครึ่งแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 873.25 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 403.34 ล้านบาท

ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 มีตัวเลขขาดทุนสะสมยังไม่ได้จัดสรรสูงกว่า 7,611.38 ล้านบาท

นอกจากงบไม่ดีแล้ว เงินปันผลก็ไม่มีอีกต่างหาก…

งั้นสิ่งที่ “วรพจน์” และ “อินดัสเตรียลล์ เบเทลิกุงฯ” จะได้จาก MILL มีแค่อย่างเดียว คือ แคปปิตอลเกน…ซึ่งราคาหุ้นจะปรับขึ้นได้ ก็ต้องดันปัจจัยพื้นฐานให้แข็งแกร่ง…

โดยเงินจากการเพิ่มทุน 63.20 ล้านบาท ชัดเจนว่าจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและใช้ปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อกลับมาผลิต ก็อาจจะทำให้ MILL พ้นภาวะขาดทุน ซึ่งเป็นโจทย์แรก ในขณะที่โจทย์ต่อไปจะกลับมามีกำไรเมื่อไหร่..?? 

แล้วด้วยเงื่อนไขที่ MILL ยังมีตัวเลขขาดทุนสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรร 7,611.38 ล้านบาท ความหวังเรื่องการกลับมาจ่ายเงินปันผลก็ริบหรี่นะ…

โอเค…แม้จะเป็นการเพิ่มทุน…ฟื้นการผลิต นำเงินไปปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อกลับมาผลิตอีกครั้ง ซึ่งผลตอบแทนจะเป็นยังไง..?? ไม่รู้ ๆๆ

ที่สำคัญจะช่วยลบล้างไดลูชั่นเอฟเฟกต์ของผู้ถือหุ้นเดิมได้อย่างไร..??

รบกวน “เฮียสิทธิชัย” ช่วยตอบผู้ถือหุ้นให้หายคลางแคลงใจหน่อยได้มั้ยเจ้าคะ…

…อิ อิ อิ…

Back to top button