
“กัณฑรา” มอง SET ไปต่อ แนะลงทุนกลุ่ม “แบงก์-สื่อสาร”
“กัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา” มองตลาดหุ้นยังมีโอกาสขึ้นต่อ แม้ดัชนีพักฐานต่ำกว่า 1,300 จุด ชี้เสถียรภาพการเมือง–มาตรการรัฐ–ดอกเบี้ยขาลง ยังช่วยหนุนตลาด
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีหลุดระดับ 1,300 จุดเป็นการปรับฐานตามปัจจัยทางเทคนิค หลังจากที่ตลาดได้ปรับตัวขึ้นกว่า 250 จุดในช่วงที่ผ่านมา การพักฐานลักษณะนี้ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวก เนื่องจากช่วยลดความร้อนแรงของดัชนีและเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่พลาดรอบก่อนสามารถกลับเข้ามาซื้อได้
ด้าน ปัจจัยทางการเมืองไทยหลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีส่งสัญญาณบวกต่อเสถียรภาพ โดยรัฐบาลมีเวลาอย่างน้อย 4-5 เดือนในการผลักดันนโยบายและใช้งบประมาณเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในลักษณะเดียวกับโครงการ “เที่ยวคนละครึ่ง” ที่มีโอกาสกลับมาในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนและกระตุ้นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ด้านนโยบายการเงินมีแนวโน้มผ่อนคลาย โดยธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีช่องทางในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งภายในปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อตลาดทุนในภาพรวม และจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน โดยมีแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญบริเวณ 1,280 จุด ซึ่งเชื่อว่าสามารถรองรับแรงขายได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ควรให้น้ำหนักกับหุ้นขนาดใหญ่ที่ยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน อาทิ กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่และกลุ่มสื่อสาร รวมถึงหุ้นเด่นอย่างบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เช่น อินวีเดีย ซึ่งมีนักวิเคราะห์ต่างประเทศประเมินว่ายังมีโอกาสปรับขึ้นอีกประมาณ 20% ขณะที่หุ้นบลูชิพอื่น ๆ เช่น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และท่าอากาศยานไทย ยังคงมีมูลค่าพื้นฐานสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ทำให้ยังมีช่องว่างการเติบโต
ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารอาจต้องปรับมุมมองจากการเก็งกำไรส่วนต่างราคา มาเป็นการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Play) ในช่วงดอกเบี้ยขาลง ก่อนที่จะกลับมาเป็นโอกาสการเก็งกำไรอีกครั้งเมื่อวัฏจักรดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทางในอนาคต เธอย้ำว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งยังเป็นตัวเลือกสำคัญ เนื่องจากจะได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศและสามารถส่งต่อโมเมนตัมไปยังหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งจะช่วยหนุนดัชนีให้มีโอกาสทะลุระดับ 1,230 จุดขึ้นไปได้ในระยะถัดไป