จับตา NTF เทรดวันแรกคึก โบรกเคาะเป้าสูงสุด 30 บาท ชี้เงินไอพีโอหนุนขยายล้ง ดันกำไรโตแกร่ง

NTF เข้าเทรดวันแรกในตลาด mai ท่ามกลางมุมมองบวกจากโบรกเกอร์ หลังเงินระดมทุน IPO ช่วยเสริมสภาพคล่อง ขยายพันธมิตรล้งทุเรียนและกำลังส่งออกจีน ดันแนวโน้มกำไรเติบโตโดดเด่น ประเมินกำไรปกติปี 2568 แตะ 251 ล้านบาท เติบโต 289% จากปีก่อน พร้อมเคาะราคาเป้าหมายสูงสุด 30 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NTF ผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายผลไม้สดคัดเกรดพรีเมียมเพื่อการส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศ ได้เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยเข้าเทรดเป็นวันแรกในวันนี้ (16 ธันวาคม 2568) ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ประสบความสำเร็จ

สำหรับ NTF ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นการคัดเลือกผลไม้คุณภาพสูงจากแหล่งเพาะปลูกที่ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรโรงคัดบรรจุหรือ “ล้ง” ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อรองรับกระบวนการบรรจุและการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ สินค้าของบริษัทส่งออกไปยังกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ ผู้ค้าส่งในตลาดผลไม้สำคัญของสาธารณรัฐประชาชนจีน อาทิ เมืองเซี่ยงไฮ้และเมืองกวางเจา รวมถึงเริ่มขยายตลาดไปยังฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและกระจายความเสี่ยงด้านตลาด

สำหรับโครงสร้างรายได้ของบริษัท ผลไม้หลักที่สร้างรายได้ ได้แก่ ทุเรียน มะพร้าว ลำไย และผลไม้อื่น ๆ โดยมีรายได้มากกว่า 90% มาจากการส่งออกทุเรียน ซึ่งรับซื้อจากแหล่งเพาะปลูกในภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศไทย สะท้อนถึงศักยภาพของทุเรียนไทยในตลาดโลก และความเชี่ยวชาญของบริษัทในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานผลไม้สดเพื่อการส่งออก

การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ NTF เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 60 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 6 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวมทั้งสิ้น 360 ล้านบาท โดยเงินที่ได้รับจากการระดมทุน บริษัทได้กำหนดแผนการใช้เงินอย่างชัดเจนเพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว

ทั้งนี้ แผนการใช้เงินจากการระดมทุนแบ่งออกเป็น 3 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ การลงทุนในเครื่องมือและอุปกรณ์การผลิต วงเงินประมาณ 120.0 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการภายในไตรมาส 4 ปี 2570 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรองรับปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น การใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ วงเงินประมาณ 171.6 ล้านบาท โดยมีแผนใช้ภายในไตรมาส 4 ปี 2569 เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ และการนำเงินไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วน วงเงินประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการภายในไตรมาส 1 ปี 2570

อย่างไรก็ตาม การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai นับเป็นก้าวสำคัญของ NTF ในการยกระดับศักยภาพทางธุรกิจ เพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าและนักลงทุน พร้อมสนับสนุนแผนการขยายตลาดส่งออกผลไม้ไทยคุณภาพสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืนในอนาคต

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ระบุว่า เงินที่บริษัท เอ็นทีเอฟ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NTF ได้รับจากการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จะช่วยเสริมสภาพคล่องและเงินทุนหมุนเวียนให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรองรับการจัดหาสินค้าและการเพิ่มจำนวนพันธมิตรโรงคัดบรรจุทุเรียน หรือ “ล้ง” ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักในการขยายปริมาณการส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน

ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัยของ KGI ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานของ NTF ว่ามีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปี (CAGR) ในช่วงปี 2568–2571 จากการขยายกำลังการจัดหาและการส่งออกผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียนซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท

ทั้งนี้ KGI ประเมินราคาเป้าหมายของหุ้น NTF สำหรับปี 2569 ไว้ที่ระดับ 30 บาทต่อหุ้น โดยอ้างอิงอัตราส่วน PEG ที่ระดับ 0.8 เท่า คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) สำหรับปี 2568–2569 ที่ระดับ 16.3 เท่า และ 13.8 เท่า ตามลำดับ สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพการเติบโตของบริษัทในระยะกลางถึงระยะยาว

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า บริษัทมีแผนใช้เงิน IPO เพื่อการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต เช่น เครื่องเป่าแห้งทุเรียน และเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) สำหรับคัดแยกและตรวจสอบคุณภาพสินค้า การใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับรับซื้อทุเรียนจากล้งซึ่งต้องชำระเป็นเงินสดทันที และการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นบางส่วน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย

นอกจากนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดว่ากำไรปกติปี 2568 จะอยู่ที่ 251 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 289.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน) โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดจีนที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้ารายเดิมที่เพิ่มยอดคำสั่งซื้ออย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรองรับความต้องการบริโภคทุเรียนของจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงการขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มเติมอีก 2 มณฑลในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

ขณะเดียวกัน อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดว่าจะขยายตัวเป็น 19.0% จาก 16.0% ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าพรีเมียม ส่งผลให้มีอำนาจในการกำหนดราคาเพิ่มขึ้น สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 97 ล้านบาท เติบโตโดดเด่น 258.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี จากการผ่านพ้นช่วงไฮซีซั่นของทุเรียนไทย

นอกจากนี้ คาดว่ากำไรปกติจะเติบโตต่อเนื่องเป็น 400 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 59.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน) ในปี 2569 จากการรับรู้ผลของการขยายช่องทางจัดจำหน่ายตลอดทั้งปี รวมถึงลูกค้ารายเดิมที่มีแนวโน้มขยายยอดคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง ขณะที่ GPM คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 19.2% จากการได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจาก Economies of Scale พร้อมประเมินราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2569 ที่ระดับ 27.50 บาท จากวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF)

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไชรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า NTF อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการส่งออกสูง โดยเฉพาะตลาดทุเรียนในประเทศจีนซึ่งมีมูลค่านำเข้าสูงที่สุดในโลก แม้การแข่งขันจะเพิ่มขึ้นจากประเทศคู่แข่งหลายแห่ง แต่ด้วยส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.3% ยังเปิดโอกาสให้บริษัทขยายตัวได้อีกมากในระยะยาว พร้อมคาดว่ากำไรปกติจะเติบโตเฉลี่ย 99% ต่อปี ในช่วงปี 2568–2570 และประเมินราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ระดับ 22 บาท

Back to top button