
“ฟิตซ์ เรตติ้ง” คงเครดิตไทย BBB+ แต่ส่งซิกแนล “ลบ” การเมืองเสี่ยง-หนี้พุ่งฉุดเศรษฐกิจ
ฟิทช์เรทติ้งส์ ยังคงอันดับเครดิตประเทศไทยเป็น “BBB+” สะท้อนเสถียรภาพการคลังท่ามกลางการเมืองที่ไม่แน่นอน แม้มีแรงหนุนจากทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่า 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและภาคการเงินที่แข็งแกร่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 ก.ย.68) ฟิทช์เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ประกาศปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจาก “คงที่” (Stable) เป็น “ลบ” (Negative) โดยคงอันดับเครดิตที่ระดับ BBB+ เหตุจากความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการคาดการณ์นโยบาย ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และวินัยทางการคลัง
ฟิทช์ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบโตเพียง 2.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม BBB ที่ราว 3.5% เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนอ่อนแอ ปัญหาด้านผลิตภาพ และจำนวนแรงงานที่ลดลง ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP คาดว่าจะเกิน 65% ภายในปี 2570 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม BBB ที่อยู่ราว 55% ขณะเดียวกันการขาดดุลการคลังคาดว่าจะอยู่ใกล้ 4% ของ GDP ต่อปีในช่วงปี 2568-2569 จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและโครงการลงทุนของภาครัฐ
อย่างไรก็ดี อันดับเครดิต BBB+ ของไทยยังได้รับแรงสนับสนุนจากความสามารถในการบริหารหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับจัดการได้ ทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงกว่า 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่า 8 เดือนของการนำเข้า ทั้งนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดที่กลับมาเกินดุลจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ รวมถึงระบบธนาคารที่มีเงินกองทุนและสภาพคล่องแข็งแรง
ฟิทช์ระบุว่า ปัจจัยที่อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตในอนาคต ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะเร็วกว่าที่คาด และการไหลออกของเงินทุนที่กระทบต่อทุนสำรอง ในทางกลับกัน หากรัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายการคลังระยะกลางที่น่าเชื่อถือ ลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลง สร้างความชัดเจนทางการเมือง และผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตจนทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเกิน 3% ต่อเนื่อง ก็อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับอันดับเครดิตขึ้นในอนาคต