PTECH รุกธุรกิจ “อิเล็กทรอนิกส์” ครบวงจร หนุนการแข่งขัน-เสริมความยั่งยืน

PTECH เดินหน้าขยายธุรกิจรับจ้างผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ครอบคลุมกระบวนการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และการประกอบระบบครบขั้นตอน เสริมศักยภาพการแข่งขันและความยั่งยืนในระยะยาว


บริษัท พลัส เทค อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTECH แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 10/2568 ซึ่งได้จัดประชุมเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ได้พิจารณาและมีมติรับทราบการปรับแผนธุรกิจและแนวทางการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยฝ่ายบริหารได้นำเสนอผลการประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยพบว่ามีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในธุรกิจรับจ้างผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Manufacturing Services: EMS) โดยเฉพาะในส่วนของ PCB Assembly และ System Assembly ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรม ดังกล่าว ภายใต้บริบทนี้ คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติในหลักการให้บริษัทฯ ขยายธุรกิจเข้าสู่สายธุรกิจ EMS เพื่อเสริมสร้าง ศักยภาพการแข่งขันและรองรับโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยมีรายละเอียด ดังนี้

วัตถุประสงค์และที่มาของการขยายธุรกิจ ได้แก่ การรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เสริมศักยภาพของบริษัทฯ ในการให้บริการแบบครบวงจร (One-Stop EMS Provider) แก่ลูกค้าที่ต้องการ outsource การผลิต เพื่อมุ่งเน้นด้านวิจัย พัฒนา และการตลาด ตลอดจนใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ของ BOI และนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐ

สำหรับขอบเขตธุรกิจใหม่ บริษัทฯ มุ่งเน้นการดำเนินงานในฐานะผู้ให้บริการ EMS ครบวงจร โดยมี Core Business ครอบคลุมการประกอบแผงวงจรพิมพ์ (PCB Assembly) และการประกอบระบบ (System Assembly) ตั้งแต่การจัดหาชิ้นส่วน (Parts Procurement), การประกอบ PCB, การประกอบระบบ, การทดสอบคุณภาพ (Quality Testing) จนถึงการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ (Logistics) พร้อมตั้งเป้าหมายยกระดับสู่มาตรฐานสากล อาทิ Zero-Defect, Environmental Compliance และ ESG เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนและความเชื่อมั่นในระยะยาว

ในส่วนของความก้าวหน้าและแผนการดำเนินงาน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการปรับพื้นที่และจัดตั้งโรงงาน พร้อมลงทุนเครื่องจักร SMT ระบบทดสอบคุณภาพ และบุคลากรวิศวกร คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการผลิตและส่งออกได้ภายในปี 2568

ผลกระทบและโอกาสที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ได้แก่ การสร้างรายได้ระยะกลางถึงยาวจากสัญญาการผลิต (long-term order contract) การกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาธุรกิจเดิม รวมทั้งการเสริมความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และคู่ค้า ขณะที่ความเสี่ยงและปัจจัยที่อาจมีผลกระทบ คือ ความเข้มงวดของมาตรฐานสากลและข้อกำหนดทางการค้า การแข่งขันในระดับภูมิภาคและโลก รวมถึงความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน (supply chain)

ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำการประเมินความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Analysis) ในหลายด้าน โดยในด้านตลาด (Market Feasibility) พบว่าความต้องการ EMS, PCB Assembly และ System Assembly ขยายตัวต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV), IoT และ Smart Devices

โดยประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติและอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของอาเซียน ด้านเทคนิคและการดำเนินงาน (Technical & Operational Feasibility) บริษัทฯ ได้จัดหาเครื่องจักร SMT และระบบทดสอบมาตรฐานสากล พร้อมเตรียมบุคลากรและทีมวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญ คาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตได้ภายในปี 2568

ขณะที่ด้านการเงิน (Financial Feasibility) โมเดล EMS มีความมั่นคงจากสัญญาการผลิตระยะยาว อยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายสำคัญเพื่อสร้าง order pipeline ที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ประจำ (recurring revenue) และกระจายความเสี่ยง ด้านกฎหมายและสิทธิประโยชน์ (Legal & Regulatory Feasibility) พบว่าโครงการสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุน BOI และไม่พบอุปสรรคทางกฎหมายที่กระทบต่อการก่อสร้างและการผลิต

จากการประเมินดังกล่าว โครงการมีความเป็นไปได้สูงทั้งด้านตลาด เทคโนโลยี และกฎหมาย โดยความเสี่ยงหลักอยู่ที่เงินลงทุนและการแข่งขัน แต่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยการวางแผน order pipeline และควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านความพร้อมของบริษัทฯ พบว่า PTECH มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอรองรับการขยายธุรกิจ โดยในระยะเริ่มต้นยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง และในอนาคตจะพิจารณาแสวงหาแหล่งเงินทุนใหม่ตามความเหมาะสม การลงทุนในธุรกิจ EMS ไม่กระทบฐานะการเงินของบริษัทฯ

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีบุคลากรที่มีองค์ความรู้ด้าน EMS และได้เสริมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามากำกับดูแลโดยตรง รวมถึงมีการจัดเตรียมสถานที่และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับการดำเนินงาน EMS ในทำเลที่เอื้อต่อการจัดหาชิ้นส่วน การขนส่ง และการเชื่อมต่อกับคู่ค้า นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายสำคัญเพื่อสร้าง order pipeline ล่วงหน้า และมีความร่วมมือกับซัพพลายเออร์และพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้มั่นใจในความต่อเนื่องของการผลิต

การเข้าสู่ธุรกิจ EMS จึงถือเป็น New S-Curve ที่สำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ (Business Diversification) เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลักเพียงประเภทเดียว และสร้างสมดุลระหว่างรายได้ที่มั่นคงจากธุรกิจดั้งเดิมกับรายได้ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงจากธุรกิจใหม่

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจหลักด้านการผลิตบัตรพลาสติก ซึ่งมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 บริษัทฯ สามารถปิดดีลโครงการสำคัญทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ บัตร Smart Card Rabbit ของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS, บัตรพลาสติกของธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ เช่น CardX ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, บัตรพลาสติกของสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รวมถึงโครงการภาครัฐ เช่น บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ของกรมการปกครอง

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของลูกค้ารายใหญ่ในศักยภาพและมาตรฐานการดำเนินงานของ PTECH ตลอดจนความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักที่ยังคงสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อผนวกรวมกับการขยายเข้าสู่ธุรกิจ EMS ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง บริษัทฯ จึงอยู่ในจุดแข็งที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงจากธุรกิจเดิมและโอกาสการเติบโตจากธุรกิจใหม่ อีกทั้งยังเสริมความยืดหยุ่นในการรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและการแข่งขันในอนาคต อันจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้น และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและคู่ค้าได้อย่างยั่งยืน

Back to top button