
ผลกระทบภาษีนำเข้ายา ‘ทรัมป์’ ต่อหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลไทย
หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลถูกจับตามมองอีกครั้งถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้ายาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตรทั้งหมด 100%
เส้นทางนักลงทุน
หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลถูกจับตามมองอีกครั้งถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้ายาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตรทั้งหมด 100% ที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป โดยได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา
ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะไม่ใช้กับบริษัทที่สร้างโรงงานผลิตยาในสหรัฐฯ ทั้งในส่วนของโครงการที่เริ่มการก่อสร้างแล้ว รวมถึงโครงการที่เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว หรืออยู่ระหว่างการก่อสร้าง
การเก็บภาษีนำเข้า 100% สำหรับผลิตภัณฑ์ยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตร จะส่งผลสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานธุรกิจอุตสาหกรรมยาโลก ซึ่งเป็นการกีดกันทางการค้าระลอกใหม่
ภาษีชุดใหม่นี้เกิดขึ้นหลังจากมีการเปิดสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติครั้งใหม่เกี่ยวกับการนำเข้าหุ่นยนต์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม และอุปกรณ์การแพทย์ ทั้งหน้ากากผ่าตัด หน้ากาก N95 ถุงมือ เสื้อกาวน์ และอุปกรณ์การแพทย์-ศัลยกรรมอื่น ๆ เช่น ถุงน้ำเกลือ ผ้าก๊อซ/ผ้าพันแผล ไหมเย็บแผล รถเข็นผู้ป่วย ไม้ค้ำยัน และเตียงในโรงพยาบาล ซึ่งอาจถูกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
คำถาม คือ 1. การเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลต่อประเทศไทยมาก–น้อย แค่ไหน???
และ 2. กลุ่มโรงพยาบาลไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร??? ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนหรือไม่???
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี มั่นใจว่าผลกระทบต่อประเทศไทยจะเป็นเพียงระยะสั้น โดยจะไม่ส่งผลกระทบทั้งด้านบวก หรือ ด้านลบต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจาก 1. มาตรการนี้บังคับใช้กับยาเฉพาะทาง จึงไม่น่าจะเกิดภาวะ Over supply ยาเฉพาะทางในตลาดโลก
และ 2. โรงพยาบาลสั่งซื้อยาเฉพาะทางต่างประเทศผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งบริษัทยาคงต้องทำการต่อรองกับโรงพยาบาลเพื่อบริหารต้นทุนค่ายาซึ่งจะขึ้นกับปริมาณสั่งซื้อ ส่วนยาสามัญทั่วไป (Generic drugs) จะได้รับการยกเว้นจากมาตรการนี้
ผลของมาตรการมีเป้าหมายต้องการให้บริษัทยาต้องตั้งโรงงานผลิตในสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบของอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ดังนั้นในระยะสั้นจะทำให้ยาเฉพาะทางนำเข้ามายังสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงขึ้น และกระทบต่อโรงพยาบาลในสหรัฐฯ ที่อาจมีต้นทุนยาสูงขึ้น
สำหรับประเทศไทย ในระยะยาวหากมาตรการนี้มีผลกระทบต่อ Supply Chain ของการผลิตยาเฉพาะทาง จนนำไปสู่ภาวะขาดแคลนยาเฉพาะทางเหมือนที่เกิดในสหรัฐฯ จะส่งผลลบต่อกลุ่มโรงพยาบาลจากต้นทุนค่าใช้ยามีแนวโน้มสูงขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ได้ทำการศึกษาพบว่า โรงพยาบาลมีต้นทุนยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์สัดส่วนราว 20-30% ของต้นทุนบริการ เมื่อเรียงจากมากไปน้อย คือ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS), บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH), บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG), บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) และ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) โดยยาและเวชภัณฑ์ที่นำเข้ามีสัดส่วน 60-70% ของต้นทุนยาและเวชภัณฑ์รวม
อย่างไรก็ตาม มีแหล่งนำเข้าครอบคลุมทั้งยุโรป, เอเชีย (จีน, อินเดีย) และสหรัฐฯ จึงมองว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ หรือ โรงพยาบาลที่มีเครือข่ายหลายแห่ง จะมีความได้เปรียบในการเจรจาต่อรองกับตัวแทนจำหน่ายยาได้ดีกว่าโรงพยาบาลขนาดเล็ก และโรงพยาบาลที่ไม่มีสาขา
ในจำนวนนี้หุ้นที่ถูกคัดแล้วว่า โดดเด่นสุด คือ BDMS แม้จะถูกปรับราคาเป้าหมายใหม่ในปี 2568 เหลือ 28 บาท จากเดิม 33 บาท มีค่า P/E 27 เท่า เพื่อสะท้อนการปรับกำไรสุทธิปี 2568-2570 ลงลบ 4% ถึงลบ 6% เป็น 17,372 ล้านบาท (เดิม 18,465 ล้านบาท) และ 18,927 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิในช่วงดังกล่าวเติบโตต่อปีเฉลี่ยเหลือบวก 6% (เดิมบวก 8% ต่อปี) แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
และเลือก BDMS เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากมองบวกต่อโอกาสเติบโตในระยะยาวมีปัจจัยสนับสนุน ทั้งได้เปรียบการแข่งขันจากส่วนแบ่งจำนวนเตียงมากสุดครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งศักยภาพทางการแพทย์ครบวงจร ตั้งแต่การป้องกันก่อนเกิดโรค (Preventive Care) จนถึงการดูแลผู้ป่วยระยะพ้นวิกฤต (Transitional Care) และลูกค้าเป้าหมายมีความยืดหยุ่นตั้งแต่ระดับปานกลางขึ้นไป ประกอบกับกลุ่มลูกค้าต่างชาติมีรายได้กระจายตัว ช่วยรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
ส่วน BCH กำไรสุทธิเติบโตเด่นกว่ากลุ่มฯ ราคาเป้าหมายใหม่ปีนี้ 17 บาท (เดิม 19 บาท) มี P/E 30 เท่า สะท้อนการปรับกำไรสุทธิลงลบ 10% ถึงลบ 19% โดยจะเติบโตต่อปีเหลือปีละ 14% นอกจากนี้ มีโอกาสได้ประโยชน์หากประกันสังคมปรับเพิ่มค่าบริการทางการแพทย์ในปี 2569
BDMS และ BCH เป็น 2 หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลที่ถูกคัดมาแล้วว่า “ดี” ไม่สะเทือนจากการจัดเก็บภาษีนำเข้ายาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตรทั้งหมด 100% ที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ