บล.กสิกรไทยชี้ TOP แปลงสินทรัพย์ 3.74 หมื่นลบ. หนุนการเงิน-ลดหนี้ แนะซื้อเป้า 39.50 บาท

บล.กสิกรไทยมองบวก ดีลแปลงสินทรัพย์ของ TOP มูลค่า 37,400 หมื่นล้านบาท ชี้ช่วยเสริมฐานะการเงินและลดภาระหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA เหลือ 8.5 เท่า เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท


บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS เปิดเผยบทวิเคราะห์ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เกี่ยวกับแผนการเข้าทำธุรกรรมการปล่อยเช่าสินทรัพย์ระยะยาวและเช่ากลับ (Leaseback) เป็นระยะเวลา 21 ปี มูลค่า 37,400 ล้านบาท ผ่านบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ ซึ่ง TOP ถือหุ้น 51% และ PTT Tank ถือหุ้น 49% โดยครอบคลุมสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถังเก็บน้ำมันดิบ ทุ่นรับน้ำมันดิบกลางทะเล (SBM) สถานีขนถ่ายน้ำมัน และที่ดิน

ขณะที่ TOP จะเช่าสินทรัพย์กลับภายใต้สัญญา 3 ปี มูลค่า 9,800 ล้านบาท (เฉลี่ยปีละ 3,300 ล้านบาท) และสามารถต่ออายุโดยอัตโนมัติหากไม่มีการแจ้งยกเลิก ธุรกรรมดังกล่าวเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน และต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 ธันวาคม 2568

บล.กสิกรไทย ระบุว่า การแปลงสินทรัพย์เป็นเงินครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างฐานะทางการเงิน ลดความเสี่ยงการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ และกระจายแหล่งเงินทุนสร้างกระแสเงินสด โดย TOP จะได้รับเงินสดสุทธิ 18,200 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้ ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สิ้นสุทธิต่อ EBITDA (ย้อนหลัง 12 เดือน) ลดลงจาก 10.4 เท่า เหลือ 8.5 เท่า แม้ว่ากำไรสุทธิจะลดลงราว 630 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่มีผลกำไรหรือขาดทุนพิเศษ เนื่องจากไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์สินทรัพย์

ทั้งนี้ ต้นทุนทางการเงินสุทธิของเงินสดใหม่จากธุรกรรมอยู่ที่เพียง 3.3% ต่อปี ต่ำกว่าต้นทุนหนี้ในปัจจุบัน 4-5% และต่ำกว่าการระดมทุนทางเลือกอื่น ๆ เช่น หุ้นกู้ถาวร (7%)

อย่างไรก็ดี อัตราส่วนหนี้สินสุทธิ/EBITDA ของ TOP ยังสูงกว่าเกณฑ์ 6.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับมาตรฐานที่สถาบันจัดอันดับเครดิตใช้รักษาอันดับเครดิตที่ระดับลงทุน บริษัทจึงมีแผนดำเนินการเพิ่มเติม เช่น การออกหุ้นกู้ถาวร (Perpetual Bond) และขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เช่น ธุรกิจไฟฟ้าและ CAP

ดังนั้น บล.กสิกรไทย มองว่าธุรกรรมดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อความแข็งแกร่งทางการเงินในระยะยาว และยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น TOP พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 36.50 บาท เป็น 39.50 บาท โดยอิงค่า PBV 0.50 เท่า (-1.25 SD) สะท้อนปัจจัยหนุนจากแนวโน้มค่าการกลั่น (GRM) ที่คาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งหลังปี 2568 และมูลค่าหุ้นที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มโรงกลั่นปิโตรเคมีรายอื่นในประเทศ

Back to top button