“อนุทิน” เคาะเยียวยาน้ำท่วม 9,000 บาท/ครัวเรือน ชง ครม. 14 ต.ค.นี้

นายกฯ “อนุทิน” นั่งหัวโต๊ะประชุม คอภ. ตั้ง 2 หน่วยงานใหม่ เร่งช่วยผู้ประสบอุทกภัย ขณะที่ สนทช. เผยสถานการณ์ไม่น่ากังวลเท่าปี 54 พร้อมห่วงคนกรุงนอกคันกั้นน้ำ


ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า วันนี้ (6 ต.ค.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 โดยมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการใหม่ 2 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คชภ.) โดยมีนายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการศูนย์ และคณะกรรมการปฏิบัติการระบายน้ำ ซึ่งมี ..ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน

นายอนุทิน กล่าวว่า การเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในปีนี้ จะใช้หลักเดียวกับปีที่แล้ว โดยให้การเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาท สำหรับครัวเรือนที่ประสบภัยเกิน 7 วัน ซึ่งจะดำเนินการทันที พร้อมสั่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)กระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ข้อมูลผู้ประสบอุทกภัยตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม – 6 ตุลาคม 2568 พบว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 685,554 ครัวเรือน โดยการอุดหนุนจะให้ครัวเรือนละ 9,000 บาท เป็นจำนวนเงินรวม 6,169.986 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำหนังสือเวียน เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 14 ตุลาคม 2568

นายสิริพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกฯ ยังได้กำชับการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประสบภัยว่า ผู้ประสบภัยจะได้รับการเยียวยาในปีนี้ ไม่ต้องรอนานจนถึงปีหน้า

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้มีข้อสั่งการในการระบายน้ำ 9 ข้อ ดังนี้

  1. ให้กรมชลประทาน คงการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา ไม่ให้เกิน 2,500ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  2. ลดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนพระราม 6ลง 100ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  3. ให้กรมชลประทานเพิ่มการระบายน้ำที่ฝั่งตะวันออกของเจ้าพระยา ผ่านคลองชัยนาทป่าสัก
  4. เพิ่มการระบายน้ำที่ประตูระบายน้ำมโนรมย์ให้เต็มศักยภาพที่ 210ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  5. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำ เพิ่มการระบายน้ำในประตูระบายน้ำและทางระบายน้ำพระนารายณ์ผ่านคลอง 8-16และคลองพระองค์เจ้าชัยยานุชิต
  6. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการระบายน้ำผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ประตูระบายน้ำทางระบายน้ำพระนารายณ์รวมถึงการตั้งเครื่องผลักดันน้ำในบริเวณคอคอด
  7. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมทุกสถานีสูบ บริเวณปากคลอง และให้เร่งสูบออกอ่าวไทยให้เหมาะสมกับจังหวะน้ำทะเลลง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงจากฝนที่ตกหนักในภาคเหนือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าสู่เขื่อนสิริกิติ์เพิ่มขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องปรับการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล จากเดิมที่ปล่อยน้ำรวมไม่เกิน 30 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็น 40-50 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ระหว่างวันที่ 7-8 ตุลาคมนี้ โดยทาง สทนช. จะประเมินสถานการณ์อีกครั้งใน 2 วันข้างหน้า และอาจต้องปรับการระบายน้ำเพิ่มเติม เพื่อรักษาระดับน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาไม่ให้เกิน 17 เมตร

นายดนุชา ยังกล่าวว่า การบริหารจัดการน้ำสำคัญอยู่ที่การประมาณการปริมาณน้ำฝน ซึ่งยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด และต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามถึงสถานการณ์น้ำว่าเข้าขั้นวิกฤติหรือไม่ นายดนุชา ระบุว่า หากเปรียบเทียบกับปี 2554 สถานการณ์ในปี 2568 มีปริมาณน้ำที่ต่ำกว่าปี 2554 และมีช่องว่างในการกักเก็บน้ำมากกว่า จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาเช่นปี 2554

เมื่อถูกถามถึงพื้นที่ที่น่ากังวลในกรุงเทพมหานคร นายดนุชา กล่าวว่า พื้นที่ที่อยู่นอกคันกั้นน้ำเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงน้ำท่วม และขณะนี้ ปภ. และกรุงเทพมหานคร กำลังดำเนินการป้องกันอยู่

Back to top button