SMO ผู้นำผลิตปาล์มดิบ CPO จ่อระดมทุน “ขยายกำลังการผลิต–ส่งออก” หนุนธุรกิจโตยั่งยืน

SMO ผงาดผู้นำผลิตปาล์มดิบ CPO จ่อระดมทุน ขยายกำลังการผลิต–ส่งออก หนุนธุรกิจเติบโตยั่งยืน เดินหน้าโรดโชว์นักลงทุน 11 จังหวัด 8–20 ต.ค. 68 เตรียมเสนอขายไอพีโอ 231.60 ล้านหุ้น เข้าเทรดตลาด SET


นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ว่า กลุ่มสมอทองประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ (Crude Palm Oil: CPO) และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพเพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยธุรกิจหลักคือ CPO ซึ่งมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 90% ธุรกิจไฟฟ้าประมาณ 1–2% และส่วนที่เหลือมาจากเมล็ดในปาล์มและผลพลอยได้ อาทิ กะลาปาล์ม ทะลายสับ และเส้นใย

สำหรับกลุ่มสมอทองดำเนินธุรกิจมาประมาณ 15 ปี เดิมใช้ชื่อ “สมอทอง น้ำมันปาล์ม” และได้ควบรวมกิจการมาเป็น “กลุ่มสมอทอง” ในปี 2560 ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ใกล้แหล่งวัตถุดิบ 4 แห่ง ได้แก่ 1) อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3) จังหวัดสระบุรี และ 4) จังหวัดชุมพร มีกำลังการผลิตรวม 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง ขณะที่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) รวม 12.7 เมกะวัตต์

ส่วนโมเดลธุรกิจและจุดแข็ง บริษัทไม่มีสวนปาล์มเป็นของตนเอง แต่ทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” รับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรซึ่งมีประมาณ 400,000 ครัวเรือน ในประเทศไทย โดยเข้าไปรับซื้อถึงในสวนผ่านจุดรับซื้อ (ลานเทปาล์ม) และบริหารจัดการด้วยระบบโลจิสติกส์ของโรงงาน กลยุทธ์การเป็นคนกลาง (ซื้อมาขายไป) มุ่งรักษาอัตรากำไร (Margin) ให้คงที่ตามหลัก “ซื้อถูกขายถูก / ซื้อแพงขายแพง” เพื่อรับมือกับความผันผวนของราคาโภคภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับโครงสร้างลูกค้า CPO ลูกค้าหลักแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มพลังงานประมาณ 30% ใช้ในการผลิตไบโอดีเซล ,2.กลุ่มบริโภคประมาณ 30% สำหรับเป็นน้ำมันปาล์มประกอบอาหาร และ 3.กลุ่มส่งออกนำ CPO ไปกลั่นต่อในต่างประเทศเพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้าบริโภคหรืออุปโภค

นายกิตติพงษ์  กล่าวอีกว่า ด้านกลยุทธ์รับมือการกำกับราคาในประเทศ เนื่องจากปาล์มเป็นพืชเชิงนโยบายและมักมีการควบคุมราคาในประเทศ ทั้งฝั่งวัตถุดิบและปลายทาง บริษัทจึงเลือกขยายกำลังการผลิตเพื่อให้มีวอลุ่มมากพอสำหรับการส่งออก ซึ่งไม่ถูกกำกับราคาในลักษณะเดียวกัน ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากการส่งออกของกลุ่มสมอทองเติบโตอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันสัดส่วนส่งออกใกล้แตะ 70% ของรายได้ทั้งหมด

ส่วนการบริหารความเสี่ยงและอัตราแลกเปลี่ยน (Fx) บริษัทไม่ทำการเก็งกำไร โดยจะไม่ขายสินค้าล่วงหน้าไกลเกิน 2–3 เดือน ทั้งนี้จะมีการล็อกออเดอร์น้ำมันปาลล์มดิบในคลังประมาณ 30–50% ก่อนส่งออกเพื่อทราบต้นทุนที่แน่นอน และบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนจากการซื้อขายเป็นดอลลาร์สหรัฐด้วยการ ล็อกค่าเงินทันทีเมื่อปิดการขายและแปลงเป็นเงินบาท เพื่อลดความเสี่ยง

ด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน (ESG) กลุ่มสมอทองให้ความสำคัญต่อการยกระดับเทคโนโลยีและการจัดการของเสียเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรายแรก ๆ ของไทยที่ใช้ หม้อนึ่งแบบตั้ง (Vertical Sterilizer) ในการนึ่งปาล์ม และยึดแนวคิด “make waste to the best value” โดยนำน้ำเสียจากการหีบปาล์มไปหมักในบ่อชีวภาพเพื่อผลิตก๊าซชีวภาพและไฟฟ้า รวมถึงดำเนินการวิจัยพัฒนาโดยนำกะลาปาล์มไปทำเป็นผลิตภัณฑ์คาร์บอน และการนำเส้นใยและทะลายปาล์มไปผลิตกระดาษคราฟต์ (Kraft paper) เพื่อทดแทนการตัดไม้ นอกจากนี้โรงงานของบริษัทยังได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแล้ว และกำลังศึกษาการคำนวณตันคาร์บอนจากการผลิตและการปลูก

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ระบุว่า มีความเข้าใจและคุ้นเคยในภาพรวมธุรกิจปาล์มจากการเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องหลายราย จึงมองเห็นถึงความตั้งใจของผู้บริหารรุ่นใหม่ของกลุ่มสมอทองในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต และ APM มีความมุ่งมั่นสนับสนุนภาคเกษตรของประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย

สำหรับมุมมองต่อธุรกิจน้ำมันปาล์ม (CPO) และโอกาสมองว่าธุรกิจปาล์มเป็น Global Commodity ไม่ใช่แค่ธุรกิจภายในประเทศ โดยส่วนแบ่งตลาดโลกผู้ผลิต CPO อันดับ 1 ของโลกคือ อินโดนีเซีย (สัดส่วน 60%) อันดับสองคือมาเลเซีย (สัดส่วน 25%) ส่วนประเทศไทยมีสัดส่วนไม่ถึง 5% แต่เป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลก แม้มีผู้ผลิตทั่วโลก แต่ปริมาณผลผลิตรวมยัง ไม่เพียงพอต่อการบริโภค สะท้อน “ช่องว่างของมูลค่า (Value Gap)” โดยอุปสงค์ในตลาดโลกมีขนาดใหญ่มาก ขณะที่ไทยมีปริมาณส่งออกเพียง หนึ่งล้านกว่าตันต่อปี เมื่อเทียบกับตลาดโลกยังถือว่าเล็ก และตลาดปลายทางที่สำคัญในปัจจุบันคือ อินเดีย

นอกจากนี้ FA ชี้ให้เห็นถึงอานิสงส์สำคัญจากนโยบายด้านไบโอดีเซลของอินโดนีเซีย โดยปัจจุบันอินโดนีเซียใช้ B40 และมีแผนปรับขึ้นสู่ B50 ในปีหน้า (ขณะที่ไทยใช้ B3) นโยบายดังกล่าวมีแนวโน้มดึงซัพพลาย CPO ออกจากตลาดโลกในระดับ หลักสิบเปอร์เซ็นต์ แม้อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตหลัก ส่งผลบวกต่อราคาปาล์มโลกและเอื้อต่อโอกาสการส่งออกของผู้ประกอบการไทย

สำหรับแผน IPO และการใช้เงินระดมทุนของ SMO เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 231,600,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 25.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อนำเงินไปใช้ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.ขยายโรงงานหีบปาล์ม เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับฤดูกาลผลผลิต, 2.ขยายจุดรับซื้อ ให้สามารถรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกรได้ครอบคลุมและทันเวลา และ 3.ลงทุนในแทงก์ฟาร์ม (Tank Farm) เพื่อใช้เป็นจุดพักน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกและรองรับความต้องการในตลาดโลกที่ยังสูง

โดยขณะนี้สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้เสนอขายหุ้นแล้ว บริษัทกำหนดโรดโชว์นำเสนอข้อมูล 11 จังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 8–20 ตุลาคม 2568 และคาดว่าจะสามารถกำหนดวันจองซื้อและนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดรองได้ภายในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568

Back to top button