
“อนุทิน” โชว์วิสัยทัศน์ Reset 4 มิติ พลิกโครงเศรษฐกิจ–ตั้งเป้าไทยนำอาเซียนอีกคำรบ
นายกฯ “อนุทิน” ปาฐกถา “Reset ประเทศไทย” พลิกโครงสร้างเศรษฐกิจ ชี้ทิศทาง 4 มิติ “ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” มุ่งสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ฟื้นฐานราก ผ่าน “คนละครึ่งพลัส” พร้อมผลักดันพลังงานสะอาด เศรษฐกิจดิจิทัล ย้ำต้อง “รีเซ็ตประเทศ” เพื่อเรียกความเป็นผู้นำกลับคืนมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ต.ค.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” ภายในงานสัมมนาเศรษฐกิจไทยประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “เมื่อโลกเปลี่ยน…ประเทศไทยไปทางไหน?” ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และผู้บริหารภาครัฐ เอกชน เข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้อง “รีเซ็ต” (Reset) วิธีคิดและวิธีบริหารใหม่ทั้งระบบ เพื่อรับมือกับความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะโลกร้อน และเทคโนโลยี AI ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในอนาคต โดยรัฐบาลกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา 4 ด้านสำคัญ ได้แก่
Reset 1. ด้านความมั่นคง รัฐบาลมุ่งเสริมความมั่นคงทั้งภายในและภายนอกประเทศ พร้อมยึดหลักนิติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ไทยอยู่ระหว่างกระบวนการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD
Reset 2. ด้านเศรษฐกิจ มุ่งสร้างรายได้ ลดรายจ่าย และลดหนี้ภาคครัวเรือน พร้อมฟื้นฟูภาคเกษตรและเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้คำจำกัดความว่าเป็น นโยบายเศรษฐกิจเฉพาะกิจ ที่กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว
นายอนุทิน กล่าวว่า “เราเชื่อว่าในไม่อีกกี่สัปดาห์นี้ จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานรากขึ้นมา ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนล้านบาท เพราะเราใช้งบประมาณไปทั้งหมดประมาณ 44,000 ล้านบาท และยังมีการเติมเงินเข้าไปในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีกกว่า 20,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะเกิดการใช้จ่าย หมุนเวียนเม็ดเงิน และกระจายตัวของรายได้ มั่นใจว่าจะมีการเสริมสร้างรายได้มากขึ้นในวงกว้าง”
พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังเร่งเจรจา “ข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (Agreement on Reciprocal Tax)” และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างจริงจัง โดยนำเทคโนโลยี AI และ Big Data มาปรับใช้ยกระดับภาคการผลิต การค้า และบริการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า “เราต้องตั้งเป้า วันนี้เราตามเวียดนาม เป็นฝันร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผม ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะเติบโตช้ากว่าประเทศในอินโดจีน พวกเราต้องมาช่วยกัน ไม่เกินความสามารถ เราเคยนำมาก่อน แต่เพราะเรารีเซ็ตต่อต้านการเปลี่ยนแปลง แฮปปี้กับสิ่งที่มีอยู่ พอเผลอแป๊บเดียว ก็เหมือนนิทานกระต่ายกับเต่า ตื่นขึ้นมาเขานำหน้าไปแล้ว แต่เราอย่าเป็นเหมือนนิทานอีสป ต้องกระโดดให้ทัน”
นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า พื้นฐานของระบบเศรษฐกิจไทยที่วางรากฐานไว้อย่างยาวนานยังแข็งแกร่ง ไทยเพียงต้อง “เกิดใหม่อีกครั้ง” สมัยก่อนเรียกเกิดใหม่ Reset โตใหม่ แต่ตอนนี้ ภาษาโลกใหม่เรียกว่า Resilience ฟุบไปพักหนึ่ง ตอนนี้ต้องลุกขึ้น กระโดดให้ทัน และ Touch up ให้ทัน สิ่งที่ได้พบและประสบในช่วงที่ผ่านมา ได้ถูกนำมาวางเป็นกรอบนโยบาย เพื่อเรียกความเป็นผู้นำของประเทศไทยในภูมิภาคกลับคืนมา
ขณะที่ Reset ด้านที่ 3 คือ “ด้านสังคม” รัฐบาลเตรียมปรับโครงสร้างตลาดแรงงานรองรับสังคมสูงวัย ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำ สนับสนุนอุตสาหกรรมสุขภาพ และออกแบบเมืองในแนวทาง Universal Design เพื่อให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม
และ ด้านที่ 4 คือ “ด้านสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล” มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2050 พร้อมจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต เตรียมออกกฎหมายอากาศสะอาด และพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เพื่อสร้างความโปร่งใสและลดคอร์รัปชัน
นายอนุทิน กล่าวปิดท้ายว่า การรีเซ็ตประเทศจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยพลังร่วมจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อสร้าง “ประเทศไทยเวอร์ชันใหม่ที่พร้อมเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน”