HSBC ทุ่ม 1.36 หมื่นล้านเหรียญ ซื้อหุ้น “แบงก์ฮั่งเส็ง” ทั้งหมด ก่อนถอนออกตลาดฮ่องกง

HSBC เตรียมทุ่มเงิน 1.36 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เสนอซื้อหุ้นที่เหลือ 36.5% ในธนาคารฮั่งเส็ง Hang Seng Bank เพื่อเพิกถอนออกจาก “ตลาดหุ้นฮ่องกง” ลดความซับซ้อนโครงสร้างธุรกิจ ขณะที่แบงก์ลูกเผชิญแรงกดดันหนี้สูง


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (9 ต.ค. 68) ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) เปิดเผยถึงแผนการเพิกถอนหุ้น ธนาคารฮั่งเส็ง (Hang Seng Bank) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือออกจากตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ผ่านข้อตกลงมูลค่า 1.06 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง (1.36 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) หลังจากผลการดำเนินงานและความเสี่ยงจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังซบเซาทั้งในฮ่องกงและจีนของธนาคารฮั่งเส็งถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด โดย HSBC จะเสนอซื้อหุ้นในส่วนที่ยังไม่ได้ถือครองอยู่ 36.5% ในราคาหุ้นละ 155 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งจะทำให้ธนาคารฮั่งเส็งมีมูลค่าตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ ประกาศดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารฮั่งเส็ง ทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 168 ดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงเปิดการซื้อขาย ก่อนจะย่อตัวลงมาอยู่ที่ 150.3 ดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงเที่ยง ซึ่งแม้ปรับตัวขึ้นถึง 26.3% แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าราคาเสนอซื้อ

ในทางกลับกัน ราคาหุ้นของ HSBC ที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ร่วงลง 6.2% มาอยู่ที่ 103.7 ดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงปิดตลาดภาคเช้า ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ที่ลดลงเพียง 0.15%

ด้านความเห็นของ HSBC ระบุว่า ราคาเสนอซื้อดังกล่าวสูงกว่าราคาปิดของหุ้นธนาคารฮั่งเส็งเมื่อวันพุธ 8 ต.ค.68 อยู่ที่ 119 ดอลลาร์ฮ่องกง คิดเป็นส่วนเพิ่ม (Premium) ถึง 30.3%

ไมเคิล มักแดด นักวิเคราะห์หุ้นอาวุโสจาก มอร์นิงสตาร์ (Morningstar) ระบุว่า ธุรกรรมครั้งนี้ นับเป็นการเข้าซื้อกิจการธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในฮ่องกงในรอบกว่าทศวรรษนับตั้งแต่ธนาคาร OCBC เข้าซื้อกิจการ ธนาคารเหวงฮั้ง (Wing Hang Bank) ในปี 2557 ด้วยมูลค่า 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ความเคลื่อนไหวนี้ สวนทางกับกลยุทธ์ก่อนหน้า HSBC ที่ทยอยถอนการลงทุนออกจากตลาดหลายแห่ง ภายหลังจากที่ จอร์จส เอลเฮเดอรี เข้ารับตำแหน่ง CEO ของ HSBC เมื่อปีที่แล้ว และริเริ่มการปรับโครงสร้างองค์กรทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ธนาคารต้องขายหรือยุติการดำเนินงานใน ยุโรป อเมริกาเหนือ และบางตลาดในเอเชียแปซิฟิก อย่างไรก็ตาม หลังการปรับโครงสร้างฮ่องกงได้ถูกจัดให้เป็นหน่วยธุรกิจหลักที่ดำเนินงานอย่างอิสระ ควบคู่ไปกับอีก 3 หน่วยงานสำคัญ

ด้าน เอลเฮเดอรี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว คาดว่าจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนของโครงสร้างเพิ่มเติมที่ธนาคารฮั่งเส็งและทั้ง 2 ธนาคารจะทำงานร่วมกันเพื่อผสานแนวทางการดำเนินงานในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครือข่ายระหว่างประเทศ ขณะที่ HSBC จะระงับโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นระยะเวลาประมาณ 3 ไตรมาส เพื่อสะสมเงินทุนสำหรับการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้

ด้าน ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) แถลงว่าได้รับทราบและมีการหารือกับทั้ง 2 ธนาคารเกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าวและจะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิ เราได้รับทราบเหตุผลที่ HSBC Holdings ชี้แจงว่าธุรกรรมครั้งนี้คือการลงทุนครั้งสำคัญในฮ่องกง HKMA ระบุ

อีกความเห็นจาก มักแดด จากมอร์นิงสตาร์ กล่าวเสริมว่า ความเคลื่อนไหวนี้เป็นทิศทางที่ดีและควรเกิดขึ้นมานานแล้ว เนื่องจากการที่ทั้งบริษัทแม่และบริษัทลูกจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นปัญหาเชิงธรรมาภิบาลโดยธรรมชาติ แม้ HSBC จะต้องจ่ายพรีเมียม แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดการผนึกกำลังเพื่อลดต้นทุนได้

การตัดสินใจเพิกถอนหุ้นครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงที่มี ภาระหนี้สินสูง และกลุ่มเจ้าหนี้กำลังเผชิญแรงกดดันทางการเงินที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากปริมาณหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 70%

ขณะที่ย้อนกลับไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารฮั่งเส็ง มีรายงานตัวเลขหนี้เสียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงและจีน โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารพุ่งขึ้นแตะระดับ 6.7% ของสินเชื่อรวม ณ เดือนมิ.ย. 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 2.8% ณ สิ้นปี 2566

เมื่อถูกถามว่าการดำเนินการครั้งนี้ ถือเป็นการ อุ้ม กิจการหรือไม่ เมื่อพิจารณาจากคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง เอลเฮเดอรี ปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า “ไม่ใช่กรณีนั้นอย่างสิ้นเชิง” พร้อมเสริมว่าทั้งสองธนาคารได้มีการสื่อสารกันมาโดยตลอดเกี่ยวกับความเสี่ยงในพอร์ตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของธนาคารฮั่งเส็ง

เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางของภาคส่วนนี้ในระยะกลางถึงระยะยาว จึงมองว่านี่เป็นเพียงวงจรสินเชื่อระยะสั้น ซึ่งส่วนหนึ่งคือการปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ

HSBC ระบุว่า การเพิกถอนหุ้นครั้งนี้ จะส่งผลกระทบเชิงลบประมาณ 1.25% ต่ออัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1 Ratio) ซึ่งอยู่ที่ 14.6% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. แต่คาดว่าจะสามารถฟื้นฟูอัตราส่วน CET1 กลับสู่ช่วงเป้าหมายที่ 14.0%-14.5% ได้ผ่านการสร้างทุนจากผลการดำเนินงานและการระงับโครงการซื้อหุ้นคืน HSBC ย้ำว่า ราคาเสนอซื้อนี้ถือเป็นราคาสุดท้าย และธนาคารไม่ได้สงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนราคาดังกล่าว

Back to top button