GBS มองกรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,270–1,300 จุด แนะสอย 10 หุ้นเด่นมีปัจจัยเฉพาะตัว

“บล.โกลเบล็ก” ประเมินตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบจำกัดจากแรงขายกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะ DELTA ที่ยังถูกใช้มาตรการ Trading Alert ขณะปัจจัยภายในประเทศ เช่น มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล อาจช่วยพยุงดัชนีไว้ได้


นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในสัปดาห์นี้คาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,270–1,300 จุด ภายใต้แรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่ยังอยู่ภายใต้มาตรการ Trading Alert T1 ส่งผลให้มีแรงขายทำกำไรต่อเนื่องในกลุ่มดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ตลาดยังขาดปัจจัยหนุนจากต่างประเทศ เนื่องจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังไม่ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม แม้เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group ชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนักถึง 94.6% ต่อการคาดการณ์ว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75–4.00% ในการประชุมวันที่ 28–29 ตุลาคมนี้

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศยังมีน้ำหนักต่อการพยุงตลาด โดยเฉพาะการแถลงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย ซึ่งอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ออกมาในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ “มาตรการคนละครึ่งพลัส” ที่จะเปิดให้ลงทะเบียนวันที่ 20–26 ตุลาคม 2568 และเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568 คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 4 และสนับสนุนการบริโภคภาคครัวเรือน รวมถึงภาคท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อธุรกิจค้าปลีกและบริการ

ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังเผชิญแรงกดดันจากการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ และการเจรจาระหว่างพรรครีพับลิกันกับเดโมแครตเรื่องร่างงบประมาณชั่วคราวยังไร้ข้อสรุป ทำให้ตลาดขาดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการคลังของประเทศมหาอำนาจ ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธาน FED กล่าวเปิดการประชุมธนาคารชุมชนโดยไม่ได้กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจหรือแนวนโยบายการเงิน ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดโลก

ด้านเศรษฐกิจไทย ธนาคารซิตี้แบงก์คาดว่า GDP ปี 2568 จะเติบโตเพียง 2.2% ก่อนจะชะลอเหลือ 1.6% ในปี 2569 จากการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัวและการลงทุนเอกชนที่จำกัด สอดคล้องกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ที่ประเมิน GDP ปีนี้โตเพียง 2% โดยครึ่งปีหลังอาจโตเฉลี่ยเพียง 1% จากแรงกดดันด้านต่างประเทศและกำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัว

สำหรับปัจจัยติดตามในประเทศ ได้แก่ การประกาศผลประกอบการกลุ่มธนาคารระหว่างวันที่ 14–21 ตุลาคม 2568 การแถลงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนโดย FETCO และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ส่วนต่างประเทศติดตามรายงานเศรษฐกิจสำคัญจากสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ทั้งดัชนี CPI, PPI และรายงาน Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ

นายวัชเรนทร์ จงยรรยง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก แนะนำกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นกลุ่มอาหารที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่ CPF, TU, ITC, BTG และ TFG ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากการส่งออกที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันแนะนำหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น GULF, BGRIM, GPSC, EGCO และ RATCH ซึ่งได้แรงหนุนจากโครงการนำร่อง Direct PPA ของรัฐบาล ที่คาดจะเปิดประมูลเดือนธันวาคม 2568 เพื่อดึงดูดการลงทุนต่างชาติในศูนย์ข้อมูล (Data Center) และอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

Back to top button