ต่างชาติแห่ลงทุนไทย 9 เดือนแรกพุ่ง 88% โบรกชี้ WHA-AMATA เด่น รับพื้นที่ EEC ฟื้นตัว

กระทรวงพาณิชย์เผยต่างชาติแห่ลงทุนไทย 9 เดือนแรกปี 68 พุ่ง 88% รวมมูลค่ากว่า 2.53 แสนล้านบาท หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว โบรกมองบวก WHA-AMATA เด่น รับอานิสงส์ยอดขายที่ดินพุ่งและการลงทุนโครงการใหม่ใน EEC ขณะเดียวกันรัฐบาลเตรียมประชุม ครม.เศรษฐกิจ ดันนโยบาย Quick Win 22 ต.ค.นี้


กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 68 ที่ผ่านมาว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–กันยายน) มีนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตให้เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 รวมจำนวน 770 ราย เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวของปีก่อน คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 253,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และสร้างการจ้างงานคนไทยกว่า 5,132 คน เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ยังมองเห็นศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

โดยกลุ่มประเทศที่นำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ มูลค่า 86,550 ล้านบาท, ญี่ปุ่น 76,397 ล้านบาท, จีน 21,925 ล้านบาท, ฮ่องกง 12,624 ล้านบาท และ สหรัฐอเมริกา 4,368 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรม การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ การพัฒนาซอฟต์แวร์ และอุตสาหกรรมแปรรูปวัสดุขั้นสูง

ขณะเดียวกัน การลงทุนจากต่างชาติกว่าครึ่งหนึ่ง หรือราว 199,699 ล้านบาท มาจากโครงการที่ได้รับสิทธิส่งเสริมการลงทุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งดึงดูดอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) เช่น ดิจิทัล เทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสะอาด และยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

นอกจากนี้ พื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน โดยมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาแล้วกว่า 222 ราย รวมมูลค่า 82,264 ล้านบาท หรือคิดเป็นราวหนึ่งในสามของการลงทุนทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน ซึ่งใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคอาเซียน

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กระแสเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่องกว่า 88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA และบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA ซึ่งมีฐานลูกค้าหลักจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน ซึ่งเป็น 3 ชาติที่นำเม็ดเงินเข้ามาลงทุนมากที่สุดในรอบ 9 เดือนแรกปีนี้

รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด หรือ INVX ประเมินว่า การเร่งตัวของกระแสเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนกับ BOI ที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1.06 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 139% เมื่อเทียกับปีก่อน โดยมีสัดส่วน FDI สูงถึง 70% ของมูลค่ารวมทั้งหมด นำโดยนักลงทุนจาก สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อยอดขายที่ดินของ WHA

บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ดินปี 2568 ไว้ที่ 2,350 ไร่ (ในประเทศ 2,250 ไร่ และเวียดนาม 100 ไร่) โดยในครึ่งปีแรกขายไปแล้ว 1,105 ไร่ และมีแปลงรอเซ็นสัญญา (LOI) อีก 1,427 ไร่ รวมถึงดีลใหญ่กว่า 1,000 ไร่ ที่คาดปิดได้ภายในไตรมาส 3/2568 ส่งผลให้แนวโน้มกำไรครึ่งหลังของปีขยายตัวโดดเด่น

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า การลงทุนในอุตสาหกรรม ดิจิทัลและดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีเม็ดเงินรวมกว่า 5.21 แสนล้านบาท รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ (E&E) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้ยอดขายที่ดินของ WHA ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีใหม่ในเดือนสิงหาคม ส่งผลให้หลายบริษัทข้ามชาติเร่งย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ไทยและเขต EEC มากขึ้น

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า AMATA มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในครึ่งหลังปี 2568 โดยคาดว่ากำไรปกติในไตรมาส 3/68 จะอยู่ที่ราว 900 ล้านบาท เติบโตทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและปีก่อน จากการเร่งโอนที่ดินกว่า 400-450 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดีลสำคัญกับบริษัท Hisense ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำของจีนที่เข้ามาซื้อที่ดินในนิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี

บล.หยวนต้า ประเมินยอดโอนที่ดินทั้งปีของ AMATA อยู่ที่ 900 ไร่ หนุนรายได้รวมปี 2568 แตะ 15,361 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน และคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,634 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของความต้องการที่ดินในกลุ่มนักลงทุนจีนและญี่ปุ่น รวมถึงแนวโน้มการขยายตัวของนิคมในลาวและเวียดนาม

นอกจากแรงหนุนจากกระแสเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ แล้ว ภาครัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดย วันที่ 22 ตุลาคมนี้ จะมีการประชุม คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะเน้นการพิจารณานโยบายเร่งด่วนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ (Quick Win) โดยคาดว่าครม.เศรษฐกิจจะพิจารณา แผนปฏิบัติการของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านการค้าและการลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม WHA และ AMATA โดยเฉพาะในประเด็น Direct PPA (การซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค) ที่เป็นนโยบายสนับสนุนการลงทุนของกลุ่ม Data Center และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูงในเขต EEC

Back to top button