PTT ถอดแบตเตอรี่.!

กระแสเห่อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ที่เคยเป็นความหวังของหมู่บ้าน ตอนนี้ดูเหมือนความหวังจะกลายเป็นความยากลำบากไปแล้ว


กระแสเห่อรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ที่เคยเป็นความหวังของหมู่บ้าน ตอนนี้ดูเหมือนความหวังจะกลายเป็นความยากลำบากไปแล้ว เลยเป็นที่มาให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ แห่งเริ่มใส่เกียร์ R กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ EV กันจ้าละหวั่น อย่างเบอร์ใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ก็ชัดเจนว่าไม่เอาแล้ว EV… 

พิสูจน์ทราบได้จากการโละขายธุรกิจ EV ออกไป ไล่ตั้งแต่ให้บริษัทลูกบริษัท อรุณ พลัส โมบิลิตี้ โฮลดิ้ง จำกัด (AMH) ขายหุ้นทั้งหมดที่ถือในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (NMA) ซึ่งดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุมบริการครบวงจร ให้แก่บริษัท เอ็มจีซี-เอเชีย กรีนเทค จำกัด เป็นบริษัทลูกของบริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC ไป

ล่าสุดย้ำหัวหมุดด้วยการประกาศเลิกกิจการบริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด (Swap&Go) หรือพูดอีกทีก็ปิดบริษัทนั่นแหละ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท.ถือหุ้น 100% ผ่านบริษัทลูกบริษัท เอ็กซ์เพรสโซ เอ็นบี จำกัด (ExpresSoNB) โดยคาดว่าจะดำเนินการเลิกกิจการแล้วเสร็จภายในปี 2569

ส่วนเหตุผลในการปิด Swap&Go นั้น ปตท.อ้างว่า “เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของ ปตท. ที่มุ่งเน้นเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งทบทวนกลยุทธ์ในธุรกิจ Non-Hydrocarbon เพื่อสร้างความแข็งแรงจากภายในและเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว” 

อ่านไปอ่านมาสรุปใจความได้ว่า พอกันที EV จากนี้ไป ปตท.จะกลับมาโฟกัสธุรกิจเดิม..!!

หลายคนคงอยากรู้ว่า  Swap&Go ทำธุรกิจอะไร..?? และเกี่ยวข้องกับ EV ยังไง..?? งั้นไปหาคำตอบกันดีกว่า

Swap&Go ถือเป็นธุรกิจสตาร์ตอัพด้านพลังงานในกลุ่มปตท.ที่จัดตั้งเมื่อปี 2563 ด้วยทุนจดทะเบียน 104 ล้านบาท เพื่อให้บริการเครือข่าย Battery Swapping หรือการสลับแบตเตอรี่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องรอชาร์จ ผ่านแอปพลิเคชัน Swap&Go เน้นจับกลุ่มผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มไรเดอร์

การเปลี่ยนแบตเตอรี่ 1 ครั้ง (จำนวน 2 ก้อน ก้อนละ 60 โวลต์ 10 แอมป์อาวว์) จะสามารถวิ่งระยะทางไกลสุดประมาณ 50-70 กิโลเมตรต่อการสวอพ 1 ครั้ง ซึ่งเหมาะกับกลุ่มไรเดอร์ที่ให้บริการรับ-ส่งอาหาร หรือสิ่งของที่ต้องการความคล่องตัว รวดเร็ว 

ถือเป็นธุรกิจอินเทรนด์ที่รองรับสังคม EV นะ แต่น่าเสียดายที่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รายได้เติบโตก็จริง แต่ยังไม่เห็นกำไรเลยนะ ไม่มีกำไรไม่พอ ยังขาดทุนเพิ่มขึ้นทุกปีอีกต่างหาก…โดยในปี 2564 มีรายได้รวม 358,300 บาท ขาดทุนสุทธิ 5.13ล้านบาท ถัดมาปี 2565 มีรายได้รวม 2.08 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 7.24 ล้านบาท ส่วนปี 2566 มีรายได้รวม 1.53 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 13.39 ล้านบาท  และปี 2567 มีรายได้รวม 4.59 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 14.50 ล้านบาท

แหม๊…เห็นผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องอย่างนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ ปตท.ตัดสินใจถอดแบตเตอรี่ออก เพราะขืนทู่ซี้ทำต่อไป มีแต่จะบั่นทอน ปตท.ให้แย่ลงไปเปล่า ๆ สู้เอาองคาพยพที่มีอยู่ไปสร้างการเติบโตธุรกิจหลักไม่ดีกว่าเหรอ..??

มิหนำซ้ำหันไปดูกระแส EV ในช่วงนี้ ก็ไม่บูมเหมือนก่อน ดูท่าไอ้ที่วาดฝันจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นตลาดแมส มาแทนที่รถยนต์สันดาปหรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันคงไม่ง่ายแล้วล่ะ

โอเค…หลายคนอาจเถียงว่า ก็ยังเห็นยอดขายรถไฟฟ้ายังเติบโตอยู่นะ โดยในเดือน ก.ย. 2568 พบว่า มียอดผลิตรถยยนต์ไฟฟ้า 6,410 คัน เพิ่มขึ้น 332.81% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. 2567 และมีส่วนของยอดขายอยู่ที่ 48,350 คัน เพิ่มขึ้น 23.82% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. 2567 และนับตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ย. 2568 มียานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนใหม่สะสม 104,571 คัน เพิ่มขึ้น 38.49% จากเดือน ม.ค.-ก.ย. 2567

ก็ใช่…แต่อย่าลืมว่ามันเป็นการโตจากฐานที่ต่ำนะ แถมอัตราการเติบโตก็เริ่มแคบลงเรื่อย ๆ…

แล้วลองคิดดูนะว่า ถ้าตลาด EV มันดีจริง ค่ายรถยนต์ EV จีน อย่าง BYD และอีกหลาย ๆ แบรนด์คงไม่ลงมาเล่นสงครามราคา…ดั๊มราคาลงจนบางรุ่นเหลือไม่ถึง 500,000 บาทหรอกจริงมั้ย..!!

เมื่อเทรนด์ EV เริ่มเจือจาง ปตท.ภายใต้การนำของ “เฮียคงกระพัน อินทรแจ้ง” จึงรีบกลับตัวกลับใจ ตัดขายธุรกิจ EV ทิ้งไป ก่อนที่จะเจ็บตัวมากไปกว่านี้…

เรียกว่าไหวตัวทันว่างั้น..!!

เพราะถ้าลุกช้ามีสิทธิ์ต้องจ่ายรอบวงใช่ม๊ะ ๆๆ…

…อิ อิ อิ…

Back to top button