MASTEC เด้ง 5% เดินหน้าขยายธุรกิจ ปักธงรายได้ปีนี้ 1 พันล้าน

MASTEC ดีดบวก 5% เตรียมนำเงินระดมทุนขายไอพีโอขยายธุรกิจตามแผน วางเป้ารายได้รวมปีนี้โต 900-1,000 ล้านบาท ขณะที่ตุนแบ็กล็อกกว่า 400 ล้านบาท จ่อบุ๊กทั้งหมดปีนี้ พร้อมชูเป้าโตด้านนวัตกรรมอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไทยที่มีเป้าหมายมุ่งสู่ Net Zero


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 ต.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท แมสเทค ลิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTEC ณ เวลา 10:27 น. อยู่ที่ระดับ 1.39 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 4.51% สูงสุดที่ระดับ 1.41 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.36 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 19.95 ล้านบาท

ด้าน นายดุษฎี มีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MASTEC เปิดเผยว่า  MASTEC วางเป้าหมายในการเติบโตไปทางด้านนวัตกรรมอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่มีเป้าหมายมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2050 เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จำนวน 114.55 ล้านบาท จะนำไปใช้ใน 4 ด้าน ได้แก่

  1. ขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมสำหรับตลาดอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม อาทิ ระบบประหยัดพลังงานสำหรับอาคารพาณิชย์ ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า,
  2. พัฒนาผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัย ภายในอาคาร คลังสินค้า ดาต้าเซ็นเตอร์ กลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas และปิโตรเคมิคอล,
  3. ขยายช่องทางการตลาดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และ
  4. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนกิจการ

ขณะที่ในส่วนของการขยายช่องทางการตลาดให้ครอบคลุมทั่วประเทศนั้น บริษัทเตรียมจะขยายสาขาเพิ่ม 3 สาขา เพื่อให้ครอบคลุมการให้บริการและการดูแลลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสาขาให้บริการเพียง 1 สาขา ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดภูเก็ต โดยบริษัทจะขยายสาขาไปในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก เพื่อจะได้มีการสต๊อกสินค้าในพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายและการให้บริการให้กับบริษัทด้วย

ส่วนเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 บริษัทวางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 900-1,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 397.54 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของบริษัท โดยล่าสุดบริษัทมีงานในมือ (Backlog) รวมแล้วที่เกือบ 400 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด

นอกจากนี้ คาดว่าความสามารถในการทำกำไรในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 จะดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก  เนื่องจากบริษัทมีการรุกธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมาร์จิ้นสูง โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มนี้ประมาณ 15% ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มดังกล่าวแล้วประมาณ 10%

นายดุษฎี กล่าวต่อว่า แผนการดำเนินงานในปี 2569 บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นกิจกรรมเดิม โดยในส่วนของงานกลุ่มที่ 1 คือ ผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล และกลุ่มที่ 2 คือ ผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยจะยังคงเติบโตแบบออร์แกนิก (Organic Growth) จะมีการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ส่วนงานในกลุ่มที่ 3 คือผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมด้วยการให้คำปรึกษา นำเสนอโซลูชันและให้บริการด้านวิศวกรรม จะเป็นไฮไลต์ของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตที่สูงในปี 2569

“จุดแข็งและจุดเด่นของเรา เราเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ขายสินค้าทางด้านระบบระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล และการป้องกันอัคคีภัยระดับต้น ๆ ของประเทศ โดยฐานลูกค้าเราก็คือผู้รับเหมา ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 80-90% เป็นกลุ่มที่เรารู้จักกันมาอย่างดี และมีความเชื่อถือกัน มีการใช้งานกันมามากกว่า 25 ปี ขณะที่สินค้าในกลุ่มที่ 3 ของเรา จะตอบโจทย์เรื่องของ Net Zero ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้มีการประกาศเป้าหมายมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2050 จากเดิมปี 2065 เร็วขึ้น 15 ปี ถือเป็นตัวเร่งให้ทุกหน่วยงานทุกระบบจำเป็นจะต้องมีการปรับตัวเข้าสู่การเป็น Net Zero ถือเป็นโอกาสของ MASTEC ที่จะเข้าไปจับตลาดส่วนนี้” นายดุษฎี กล่าว

นายดุษฎี กล่าวอีกว่า MASTEC ไม่ได้เป็นแค่ผู้ขายสินค้าอุตสาหกรรมและการบริการ แต่บริษัทมีการวางตัวเองให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของงานด้านวิศวกรรมและระบบที่มีความยั่งยืน ซึ่งดูตามโมเดลธุรกิจของบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 กลุ่ม จะเห็นชัดเจนว่ากลุ่มธุรกิจที่ 1-2 เป็น Dividend Stock (หุ้นปันผล) และกลุ่มที่ 3 เป็น Growth Stock ดังนั้น MASTEC จึงมั่นใจว่าจะสามารถเป็นได้ทั้ง 2 อย่าง

ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน MASTEC เปิดเผยว่า สินค้าหลักในกลุ่ม 2 กลุ่มแรกของ MASTEC คือผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศและสุขาภิบาล และกลุ่มผลิตภัณฑ์การป้องกันอัคคีภัยและผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย ถือเป็นกลุ่มสินค้าที่สอดคล้องกับภาคการลงทุนและภาคการก่อสร้าง โดยส่วนนี้การเติบโตจะเป็นแบบ Organic ซึ่งการเติบโตจะสอดคล้องกับ GDP ของประเทศ แต่กลุ่มที่ 3 ที่เป็นกลุ่มสินค้าที่สอดคล้องกับการประหยัดพลังงาน จะเป็นไฮไลต์ที่สอดคล้องกับ Net Zero ซึ่งนอกจากที่ MASTEC จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับภาคการลงทุนการก่อสร้างใหม่ ๆ แล้ว ยังจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับภาคการปรับปรุงในอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่มีอยู่แต่เดิมด้วย

Back to top button