CPF เด้ง 1% รับร่วมทุน “นิปปอนแฮม” รุกแปรรูปเนื้อสัตว์ญี่ปุ่น ป้อนตลาดไทย-ต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ต.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ณ เวลา 10:13 น. อยู่ที่ระดับ 21.40 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 0.94% สูงสุดที่ระดับ 21.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 21.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 96.42 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นดีดกลับขึ้นมา ตอบรับ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF เปิดเผยว่า เมื่อในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 บริษัท ซีพีเอฟ ฟู๊ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จํากัด (CPFFB) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CPF ถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% จะเข้าลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท เอ็นเอช ฟู้ดส์ (NH Foods) หรือ นิปปอนแฮม เพื่อร่วมพัฒนาและผลิตอาหารแปรรูปจากเนื้อสุกร สําหรับจัดจําหน่ายในประเทศไทยและจัดจําหน่ายในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง

โดยเป็นการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท ซีพีเอฟ เอ็นเอช ฟู้ดส์ จํากัด (CPFNH) มีทุนจดทะเบียน 1,800 ล้านบาท ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 300 ล้านบาท โดยโครงสร้างการถือหุ้น ประกอบด้วย CPFFB ถือหุ้น 51% มูลค่าเงินลงทุน 918 ล้านบาท และ NH Foods ถือหุ้น 49% มูลค่าเงินลงทุน 882 ล้านบาท มีกำหนดจัดตั้งบริษัทภายในเดือนพฤศจิกายน 2568

ทั้งนี้ ภายหลังจากการจัดตั้งบริษัทแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2568 บริษัทร่วมทุนใหม่ หรือ CPFNH จะเข้าซื้อโรงงานอาหารสำเร็จรูปของ CPFFB ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ภายในไตรมาส 1/2569 เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยมีมูลค่ารวม 1,800 ล้านบาท โดยโรงงานแปรรูปอาหารที่จังหวัดฉะเชิงเทรา จะเป็นฐานการผลิตของธุรกิจใหม่นี้

สำหรับการร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการผสานความร่วมมือด้านเครือข่ายการจัดจำหน่ายและการจัดหาวัตถุดิบของกลุ่ม CPF กับความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และมาตรฐานการผลิตของ NH Foods Ltd. เพื่อพัฒนาอาหารแปรรูปจากเนื้อสุกร ส่วนการจัดจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฮ่องกง รวมถึงการต่อยอดและขยายตลาดของอาหารแปรรูปของกลุ่ม CPF ไปยังประเทศญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ด้วยเป้าหมายร่วมกันสร้างวัฒนธรรมอาหารที่หลากหลายทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ NH Foods Ltd. ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2485 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารแปรรูปเนื้อสัตว์รายใหญ่ในญี่ปุ่น มีสถานประกอบการใน 16 ประเทศทั่วโลก มีสำนักงานขายจำนวน 202 แห่ง และมีหุ้นสามัญเป็นทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ส่วน CPFFB เป็นบริษัทย่อยของ CPF ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป โดยปัจจุบันมีโรงงานในประเทศไทยจำนวน 6 แห่ง

“การจัดตั้ง CPFNH ถือเป็นก้าวสำคัญในการผนึกกำลังของสองผู้นำธุรกิจอาหารชั้นแนวหน้าของเอเชีย โดยการผสานเครือข่ายการจัดจำหน่ายแบบครบวงจรและการจัดหาวัตถุดิบของ CPF เข้ากับมาตรฐานการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการผลิตขั้นสูงของนิปปอนแฮม บริษัทกำลังกำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูประดับพรีเมียมแก่ผู้บริโภคทั่วเอเชีย ความร่วมมือนี้ไม่เพียงตอกย้ำความแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทในตลาดเนื้อสุกรแปรรูประดับโลก แต่ยังขับเคลื่อนวิสัยทัศน์การเติบโตอย่างยั่งยืนในฐานะ “ครัวของโลก” พร้อมกันนี้บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมสร้างอาหารที่มีคุณภาพและยั่งยืนแห่งอนาคตร่วมกัน” นายประสิทธิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้ NH Foods จะนำความเชี่ยวชาญระดับโลกด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงมาสนับสนุน ขณะที่บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด (CPF Food and Beverage Co., Ltd.) จะจัดหาวัตถุดิบเนื้อสุกรคุณภาพพรีเมียมที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยอาหารระดับสากล พร้อมใช้เครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทยและตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจร่วมกันอย่างยั่งยืน

ด้านนายโนบูฮิสะ อิกาว่า ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NH Foods เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งสร้างคุณค่าใหม่ให้กับโปรตีนผ่านการร่วมสร้างสรรค์และการแสวงหาความท้าทาย พร้อมเดินหน้าขยายความร่วมมือทางธุรกิจกับ CPF ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ ทั้งสองบริษัทจะร่วมกันใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายในการผลักดันธุรกิจในกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้สู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย

ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง CPF และ NH Foods เริ่มต้นจากการลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์แบบครบวงจร (Comprehensive Strategic Partnership Agreement) เมื่อปีที่ผ่านมา โดย CPF ได้นำเข้าเนื้อวัวเกรดพรีเมียมจาก NH Foods เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย ความสำเร็จของความร่วมมือดังกล่าวปูทางสู่การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่นี้ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของทั้งสองบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาคเอเชีย