
PTTEP กำไร Q3 แตะ 1.27 หมื่นล้านบาท ลุยโครงการ CCS แห่งแรกในไทย–แหล่งก๊าซใหม่
PTTEP รายงานงบไตรมาส 3/68 กำไรแตะ 1.27 หมื่นล้านบาท พร้อมกับเดินหน้าโครงการ CCS แห่งแรกในประเทศไทยที่แหล่งอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และเดินหน้าหาแหล่งก๊าซใหม่
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 และงวด 9 เดือนแรกของปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 มีกำไรสุทธิลดลง ดังนี้
สำหรับ PTTEP รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12,695.09 ล้านบาท ลดลง 28.94% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 17,864.57 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากกำไรสุทธิและกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2568 โดยราคาขายเฉลี่ยลดลง 2% มาอยู่ที่ 43.17 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ จากสัดส่วนการขายน้ำมันดิบและคอนเดนเสทที่ลดลง แม้ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น
ต้นทุนต่อหน่วยเพิ่มขึ้น 1% มาอยู่ที่ 31.52 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านบริหารและการสำรวจที่สูงขึ้น ขณะที่ปริมาณขายเฉลี่ยต่อวันปรับเพิ่ม 1% มาอยู่ที่ 510,497 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากผลการเข้าร่วมลงทุนในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 และ บี 17-01 ที่ลดช่วงปิดซ่อมบำรุง
ด้านฐานะการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 3/2568 PTTEP มีสินทรัพย์รวม 29,033 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หนี้สินรวม 13,090 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ที่ 3,976 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่วนของผู้ถือหุ้น 15,943 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้อัตราส่วนหนี้สินมีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.25 เท่า ซึ่งยังคงเป็นไปตามนโยบายทางการเงินของบริษัท
ด้าน นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTEP เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 นี้ บริษัทได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติม โดยได้เข้าถือสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 50 ในโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าในบริเวณภาคใต้ของไทย
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งเข้าประเทศไทยในอัตรา 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 6 ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย การลงทุนครั้งนี้ สามารถสร้างรายได้ ปริมาณการขาย และปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันที
ในทวีปแอฟริกา ปตท.สผ. ได้เสร็จสิ้นการซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท แล้ว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีสัดส่วนการลงทุนทางอ้อมในโครงการดังกล่าวร้อยละ 22.1 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคตได้ การเข้าร่วมทุนครั้งนี้ สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติและปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันทีเช่นกัน
สำหรับในประเทศไทย ปตท.สผ. ได้ประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย เดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ จะสามารถดักจับและอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุด 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปี 2571 โดยการดำเนินงานดังกล่าว จะไม่กระทบต่อการผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งอาทิตย์ โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ ยังเป็นการนำร่องและเป็นต้นแบบที่สำคัญในการพัฒนาโครงการ CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทยในอนาคต รวมถึงธุรกิจ CCS ในบริเวณอ่าวไทยตอนบน (Eastern Thailand CCS Hub) อีกด้วย
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการศึกษาวิจัย พัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย ปตท.สผ. ได้ร่วมมือกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ มอบทุนสนับสนุนโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้าน CCS ในประเทศไทย ให้กับ 9 โครงการ จากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำ 7 แห่ง ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) ของกิจกรรม CCS อย่างครบวงจร นับได้ว่าเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ในการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน CCS ให้กับประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ
“แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ ปตท.สผ. จะเร่งการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายหลายโครงการในต่างประเทศ เช่น โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่สอง โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ในแหล่ง Waset รวมถึงโครงการสำรวจที่มีการค้นพบปิโตรเลียมแล้วในประเทศมาเลเซีย ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตให้กับบริษัทในระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป” นายมนตรี กล่าว
สำหรับผลประกอบการในรอบระยะเวลา 9 เดือนของปี 2568 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 220,503 ล้านบาท (เทียบเท่า 6,659 ล้านดอลลาร์ สรอ.) มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 499,925 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการในประเทศไทย เช่น โครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในเดือนมีนาคม 2567 และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ที่บริษัทเข้าร่วมลงทุนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มาอยู่ที่ 44.27 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 42,761 ล้านบาท (เทียบเท่า 1,288 ล้านดอลลาร์ สรอ.) ในรอบระยะเวลา 9 เดือน ปี 2568 นำส่งรายได้ให้กับรัฐ กว่า 43,700 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาประเทศ
ในรอบ 9 เดือนของปี 2568 ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวนกว่า 43,700 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐยังได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) เป็นรายได้ทางตรงจากการผลิตปิโตรเลียมที่รัฐนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย


