
ครม.ไฟเขียว “NDC 3.0” ดันไทยสู่ Net Zero ลดก๊าซเรือนกระจก 47% ภายในปี 93
“สุชาติ” เผย ครม.อนุมัติยกระดับเป้าหมาย NDC 3.0 มุ่งลดก๊าซเรือนกระจก 47% ภายในปี 2578 สอดรับเป้าหมาย Net Zero ปี 93 เตรียมลงทุน 2.3 แสนล้านบาท ดึงเม็ดเงินต่างชาติหนุนเศรษฐกิจสีเขียว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 มีมติเห็นชอบต่อร่างเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเร่งรัดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2050 เร็วขึ้น 15 ปี จากแผนเดิม โดยสอดคล้องกับเส้นทางจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส (1.5°C Pathway) ตามนโยบายรัฐบาลข้อ 13 ว่าด้วยการผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงต่อรัฐสภา
ทั้งนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ (Economy-wide) ภายในปี ค.ศ. 2035 (พ.ศ. 2578) พร้อมเพิ่มศักยภาพการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน (LULUCF) เพื่อให้ระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิอยู่ที่ 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) หรือคิดเป็นการลดลงร้อยละ 47 จากระดับการปล่อยในปี ค.ศ. 2019 นอกจากนี้ ยังจัดทำแผนการลงทุนเพื่อดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศรวม 230,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติม 32.8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายใต้กรอบความตกลงปารีส
นายสุชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การยกระดับเป้าหมาย NDC 3.0 เป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อเร่งให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาโดยเร็ว ทั้งยังเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ ดึงดูดการลงทุนสีเขียว และสร้างการจ้างงานใหม่ในภาคเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) ได้จัดส่งเอกสาร NDC 3.0 ไปยังองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ในช่วงบ่ายวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 และจะนำเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาภาคีกรอบอนุสัญญาฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP 30) ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อประกาศความมุ่งมั่นของไทยในเวทีโลกอย่างเป็นทางการ พร้อมเดินหน้าจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแปลงเป้าหมายสู่การปฏิบัติจริง โดยมีการเชื่อมโยงระบบติดตามผลแบบดิจิทัล (Digital Tracking) เพื่อให้การดำเนินงานมีความโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ