BGRIM เด้ง 6% ขานรับกำไร Q3 โตกระฉูด 219% ปักธงจ่ายไฟเพิ่ม 500MW โบรกชูเป้าสูงสุด 22 บาท

BGRIM เด้ง 6% ตอบรับกำไรไตรมาส 3/68 แตะ 521 ล้านบาท เติบโตแรง 219% จากปีก่อน แรงหนุนจากต้นทุนก๊าซลด ยอดขายไฟฟ้า IU พุ่ง และกำไร FX เด้ง โครงการใหม่ทั้งไทย-มาเลเซียระเบิดศักยภาพ! ขณะที่ปี 69 สดใส พร้อม COD 5 โครงการไฟฟ้า เพิ่มกำลังผลิตกว่า 500 เมกะวัตต์ ทั้ง Nakwol 1 และ Huong Hoa, อินทรี บี.กริม และโครงการ Zhongce Rubber โบรกฯ แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมายสูงสุด 22 บาท หลังงบ Q3 ดีเกินคาด มอง Q4 เติบโตต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 พ.ย. 68) ราคาหุ้น บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ณ เวลา 10:52 น. อยู่ที่ระดับ 15.20 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 5.56% สูงสุดที่ระดับ 15.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 78.09 ล้านบาท

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกรรมการบริษัท  BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 521 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจาก 163 ล้านบาท เมื่อช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็นการเติบโตกว่า 219% และเพิ่มขึ้น 7,342.9% จากไตรมาสก่อน

โดยการดำเนินงานหลักมีความแข็งแกร่งได้รับแรงสนับสนุนจาก 4 ปัจจัยหลัก 1) ปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน 2) ต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลง 11.1% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลง 12.1% อยู่ที่ 298.6 บาทต่อล้านบีทียู เทียบกับ 335 บาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน (Q3/2567)

3) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) และค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลง 4) กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่เกิดขึ้นจริง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 521 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 163 ล้านบาท เมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยข้างต้นรวมถึงรายการที่ไม่ใช่เงินสดจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเกิดจากหนี้สินคงค้างสกุลดอลลาร์สหรัฐ และธุรกรรมสกุลเงินต่างประเทศ

ปัจจัยบวกไตรมาส 3/2568 ส่งผลต่อการเติบโตของบี.กริม เพาเวอร์ ได้แก่ การเชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ในประเทศไทย จำนวน 13.2 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ยอดรวมเป็น 33.9 เมกะวัตต์ ในงวด 9 เดือน เป็นไปตามแผนเป้าหมายปี 2568 ที่ตั้งไว้ที่ 40-50 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ เดือนกรกฎาคม บี.กริม เพาเวอร์ ได้ประกาศจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ 2 แห่งในประเทศมาเลเซีย เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า และเดือนกันยายนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน อู่ตะเภา (เฟส 1) กำลังการผลิตติดตั้งรวม 18 เมกะวัตต์ เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี กับกิจการไฟฟ้าสัตหีบ หน่วยสวัสดิการกองทัพเรือ กำลังผลิตตามสัญญา 15 เมกะวัตต์ และล่าสุดเดือนตุลาคม บริษัท สมาร์ท คลีน ซิสเท็ม วัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บี.กริม เพาเวอร์ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังผลิตตามสัญญา 16 เมกะวัตต์ โดยกำหนด COD ในปี 2573

ขณะที่กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก อยู่ที่ 1,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.5% จากปีก่อนที่ทำได้ 770 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมลดลง 0.9% เหลือ 42,125 ล้านบาท แม้ว่าอัตราค่าไฟฟ้าของลูกค้า IUs ในไทยและเวียดนามลดลง แต่ส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการ Malacha ที่เข้าซื้อกิจการ 100% ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 และรายได้ค่าธรรมเนียมพัฒนาโครงการที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี งวด 9 เดือนแรก ต้นทุนก๊าซธรรมชาติกลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1% แตะระดับ 26,061 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการบันทึกต้นทุนก๊าซย้อนหลังตามมติคณะรัฐมนตรี ที่กำหนดให้ ปตท.และ กฟผ.รับภาระส่วนต่างระหว่าง “ราคาก๊าซรวมที่เกิดขึ้นจริง” กับ “ราคามาตรฐานอ้างอิง” (304.79 บาทต่อล้านบีทียู) สำหรับช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 ซึ่งมีการรับรู้ผลกระทบดังกล่าวในไตรมาส 2/2568 (Q2/2568)

ด้านการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินทุน ได้แก่ หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ลดลง 1.2% จากสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ 114,388 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 โดยเป็นผลจากการชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง

ดร.ฮาราลด์ กล่าวว่า บี.กริม เพาเวอร์ ยังเดินหน้าขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ ความร่วมกับ Texplore ในกลุ่มธุรกิจเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ โดยใช้ CHILLOX โซลูชันประหยัดพลังงาน สำหรับคลังสินค้าห้องเย็น และในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตอบโจทย์ความคุ้มค่าด้านการใช้พลังงานของลูกค้าภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ร่วมกับ GC Estate ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ด้านพลังงาน พัฒนาโครงข่ายสถานีไฟฟ้าย่อยและยกระดับระบบจำหน่ายไฟฟ้าภายในพื้นที่ของ GC Estate ในนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จ.ระยอง รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม รองรับความต้องการไฟฟ้าในอนาคตได้ถึง 60 เมกะวัตต์ คาดว่าจะพร้อมจ่ายไฟเข้าสู่ระบบได้ในกลางปี 2569

นอกจากนี้ ได้ร่วมกับ Renewable Energy Solution (RES) บริษัทร่วมทุนระหว่าง กลุ่ม EGCO และ บี.กริม เพาเวอร์ เปิดตัวเครื่องมือตรวจวัดประสิทธิภาพแผงโซลาร์เซลล์ที่มีความยาวเกิน 2 เมตร เครื่องแรกในไทยและอาเซียน เพื่อยกระดับการตรวจสอบแผงโซลาร์ให้มีมาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นแก่องค์กรและผู้ที่ต้อง การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

โดยการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 ตอกย้ำความสำเร็จด้วยรางวัลและประกาศเกียรติคุณ ในเดือนกันยายน ได้รับรางวัลสุดยอดองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานมากสุดในเอเชีย ประจำปี 2568 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จาก HR Asia นิตยสารชั้นนำด้านทรัพยากรบุคคลของภูมิภาคเอเชีย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นด้านการบริหารและพัฒนาบุคลากร นอกจากนี้ ยังได้รับ 7 รางวัลจากเวที HR Excellence Awards 2025 ต่อเนื่องปีที่ 2 และล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน ได้รับรางวัล Outstanding CEO, Outstanding CFO และ Outstanding IR ในกลุ่มผลิตไฟฟ้าและสาธารณูปโภค จากงาน IAA Awards for Listed Companies 2025 จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน

:ปีหน้า COD 5 โครงการ

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2569 จากคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เศรษฐกิจจะขยายตัว 1.6% ในปี 2569 ได้รับแรงหนุนบางส่วนจากการเร่งการผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ ภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะทยอยฟื้นตัว ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตระดับปานกลางจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติของโรงไฟฟ้า SPP คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 290-310 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับปี 2568 และวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 9 ลำ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas พร้อมตั้งเป้าเพิ่มลูกค้า IUs รายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 30-40 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ตลอดปี 2569 บริษัทมีโครงการจะเริ่ม COD รวม 5 โครงการได้แก่ 1) อินทรี บี.กริม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 80 เมกะวัตต์ 2) Zhongce Rubber โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์ 3) Nakwol 1 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง 365 เมกะวัตต์ 4) Huong Hoa 1 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบนฝั่ง 48 เมกะวัตต์ 5) โครงการอื่น ๆ รวมกำลังการผลิตสูงสุด 30 เมกะวัตต์

โดย BGRIM ยังคงเดินหน้ามุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก ภายใต้ยุทธศาสตร์ระยะยาว GreenLeap – Global and Green สอดคล้องกับเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้า 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 พร้อมก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593 หรือ ค.ศ. 2050

ราคาเป้าหมายสูงสุด 22 บาท

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ประเมินราคาเป้าหมายเฉลี่ยสำหรับปี 2568 อยู่ที่ 16.94 บาท โดยมีช่วงสูงสุดที่ 22 บาท และต่ำสุด 14 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) คำแนะนำ “ซื้อ” BGRIM และให้ราคาเป้าหมายระดับ 22 บาท โดยมองว่ากำไรหลักจะกลับมาเติบโตโดดเด่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป และกระแสเงินสดแข็งแกร่งมากขึ้นจากสัญญาซื้อขายไฟระยะยาว

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 20 บาท บนพื้นฐานการประเมินมูลค่าด้วยวิธี SOTP โดยมองว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/2568 มีแนวโน้มฟื้นตัว และจะต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4/2568 รวมถึงปีหน้าด้วย

นอกจากนี้ บริษัทมีปัจจัยบวกจากแผนการทำ Asset Monetization เพื่อปรับยุทธศาสตร์การลงทุนใหม่ให้สอดคล้องกับธุรกิจไฟฟ้าในอนาคต คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการขยายตัวของธุรกิจ Data Center, Cloud, AI Computing, Crypto, EV และระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ (Robotic Manufacturing)

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองว่ากำไรปกติไตรมาส 4/2568  จะเติบโตจากปีก่อน จากภาวะฤดูกาลและต้นทุนก๊าซที่มีแนวโน้มปรับขึ้น สำหรับราคา Pool Gas ในช่วงไตรมาส 4/2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ย 289 บาทต่อล้านบีทียู เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาวที่ความต้องการใช้พลังงานสูง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19 บาท

Back to top button