ครม.เศรษฐกิจ เคาะ “ไทยแลนด์ ฟาสต์พาส” ปลดล็อก 80 โปรเจ็กต์ 4.8 แสนลบ. แก้คอขวดลงทุน

ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบโครงการ “Thailand FastPass” เร่งปลดล็อกการลงทุนขนาดใหญ่ 4.8 แสนล้านบาท เดินหน้าพลังงานสะอาด แก้ปัญหาที่ดิน–ใบอนุญาตทำงานชาวต่างชาติ พร้อมอัดงบเพิ่มทักษะแรงงานและอุ้มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวม 5,000 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (24 พ.ย.68) เวลา 13:30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 5/2568 โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุม ร่วมนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

นายเอกนิติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบโครงการ Thailand FastPass” เพื่อเร่งปลดข้อจำกัดของโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจากบีโอไอแล้วแต่ยังไม่เริ่มเดินหน้า โดยนำร่อง 80 โครงการ มูลค่ารวม 480,000 ล้านบาท มุ่งบูรณาการการทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน เพื่อผลักดันให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ คาดช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และรองรับอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ ดาต้าเซนเตอร์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และพลังงานสะอาด ตลอดจนเพิ่มการจ้างงานในประเทศ

รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า หลังจากเร่งรัดแก้ปัญหาระยะสั้นผ่าน FastPass แล้ว รัฐบาลจะส่งข้อจำกัดด้านกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน เพื่อเดินหน้าปรับปรุงกฎหมายล้าสมัย หรือ “กิโยตินกฎหมาย” ให้เท่าทันบริบทใหม่ของเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารืออุปสรรคเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะปัญหาระบบไฟฟ้าและพลังงานสะอาด ซึ่งมีผลต่อการลงทุนศูนย์ข้อมูลดิจิทัล รัฐบาลได้เร่งจัดทำกรอบซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จัดทำเกณฑ์โครงการนำร่องให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ ก่อนเสนอต่อคณะกรรมการ กกพ. ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ประเทศไทยมีราคาพลังงานสะอาดที่แข่งขันได้ ขณะเดียวกันยังเตรียมมาตรการรองรับปัญหาที่ดินอุตสาหกรรมซึ่งขาดแคลน เพื่อให้สามารถรองรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในระยะถัดไป

ที่ประชุมยังเห็นชอบโครงการพัฒนาทักษะแรงงานขั้นสูงรองรับอุตสาหกรรมใหม่ โดยเน้นทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบศูนย์ข้อมูลดิจิทัล และยานยนต์สมัยใหม่ ใช้งบจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน 2,000 ล้านบาท ตั้งเป้าฝึกอบรมแรงงานไทย 100,000 คน รวมถึงโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย วงเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั้งด้านเงินอุดหนุน การทำวิจัยพัฒนา และการเข้าถึงสินเชื่อ โดยร่วมมือกับสมาคมธนาคมไทย เป็นหนึ่งในเสาหลักของแพ็กเกจ Quick Big Win

ด้านนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ เปิดเผยว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา บีโอไออนุมัติการลงทุนรวมกว่า 2 ล้านล้านบาท แต่ยังพบโครงการขนาดใหญ่ มูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 80 โครงการ รวมมูลค่า 480,000 ล้านบาท ที่ยังไม่สามารถเริ่มลงทุนได้ ส่วนใหญ่เป็นโครงการศูนย์ข้อมูลดิจิทัล นิคมอุตสาหกรรมใหม่ พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จึงเสนอใช้กลไก FastPass เพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนจริง โดยโครงการที่ได้รับ “บัตร FastPass” จะได้รับการอำนวยความสะดวกแบบเร่งรัด ( Fast Track) จาก 5 หน่วยงาน ได้แก่ บีโอไอ, กรมโรงงานอุตสาหกรรม, การนิคมอุตสาหกรรม, สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และกรมศุลกากร คาดช่วยลดระยะเวลาการอนุญาตต่าง ๆ ลงได้ 20–50% และจะเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนธันวาคมนี้

นายนฤตม์ ระบุว่า อุปสรรคสำคัญที่ต้องเร่งแก้มี 3 เรื่อง ได้แก่ ระบบส่งไฟฟ้าที่เป็นคอขวดในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จากการขยายตัวของการลงทุนศูนย์ข้อมูลดิจิทัลในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติให้เร่งวางหลักประกันเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้การไฟฟ้า พร้อมเร่งประกาศบริการพลังงานสีเขียว และ Direct PPA ภายในปีนี้

ส่วนที่ดินอุตสาหกรรมสีม่วงใน EEC ซึ่งขาดแคลน ได้มอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมืองเร่งจัดทำผังเมืองรวมและผังชุมชนให้สอดคล้องกับผังพัฒนา EEC ภายในเดือนมีนาคม 2569 ควบคู่กับการแก้ปัญหาทางสาธารณะและลำรางสาธารณะ นอกจากนี้ยังเร่งเชื่อมระบบวีซ่าและใบอนุญาตทำงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ บีโอไอ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงแรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ

สำหรับมาตรการพัฒนาทักษะแรงงาน บีโอไอสนับสนุนค่าฝึกอบรม 10,000–40,000 บาทต่อคน เป้าหมาย 100,000 คน โดยต้องลงทะเบียนภายใน 4 เดือน และเริ่มอบรมภายใน 6 เดือนหลังได้รับสิทธิ

ส่วนการอัปเกรดผู้ประกอบการไทย รัฐจะสนับสนุน 30–50% ของเงินลงทุนในลักษณะคล้าย “คนละครึ่งภาคอุตสาหกรรม” เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจปรับเครื่องจักรและนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ โดยประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้สินเชื่อหมุนเวียนระหว่างรอเบิกเงินจากบีโอไอ ช่วยเสริมสภาพคล่องของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

นายนฤตม์ ระบุว่า เมื่ออุปสรรคทั้งหมดถูกปลดล็อก คาดว่าช่วงปี 2568–2570 จะมีเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 390,000 ล้านบาท และโดยเฉลี่ยโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ จะก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 100,000 ตำแหน่ง

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การยุบสภาไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินหน้าโครงการ “Thailand FastPass” เนื่องจากเป็นมาตรการที่ต้องผ่านมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีผลบังคับใช้ได้ทันที แม้รัฐบาลอยู่ในช่วงรักษาการ 4–6 เดือนก็ยังสามารถดำเนินงานตามกระบวนการได้ตามปกติ

นายนฤตม์ กล่าวปิดท้ายว่า โครงการ FastPass จะมีการจัดทำข้อตกลง SLA ของทุกหน่วยงานที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ โดยกำหนดขั้นตอนชัดเจนและเปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ใช้ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก ให้โครงการสามารถเดินหน้าได้ในระยะยาว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“เอกนิติ” จ่อชง “ฟาสต์ พาส” เข้า ครม.เศรษฐกิจ 24 พ.ย. – ดันกองทุน TISA จูงใจหนุนตลาดทุน

Back to top button