“อินโนบิก” รีแบรนด์ครั้งใหญ่! ตั้งเป้าสู่การเป็นผู้นำ “Life Science” ระดับภูมิภาค

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัทเล็งเห็นว่าธุรกิจ “Life Science” เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลก และ New S-curve ที่สำคัญสำหรับประเทศไทย ที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ บนฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม บริษัทจึงได้ก่อตั้ง บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ขึ้นมาเมื่อปี 2563 ในฐานะ New S-Curve ของ ปตท. โดยที่ผ่านมาอินโนบิก มุ่งสร้าง Ecosystem ของชีววิทยาศาสตร์ ตั้งแต่การวิจัย พัฒนาธุรกิจ และการจัดจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย และสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขจนประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ จากความสำเร็จดังกล่าวล่าสุดอินโนบิกจึงได้จัดงาน Innobic Life Science Business Excellent Move Forum เพื่อประกาศจุดยืนทางธุรกิจและทิศทางการเติบโตในอนาคต พร้อมกับสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพให้คนไทย โดยวางจุดยืนที่แตกต่างจากผู้เล่นระดับภูมิภาครายอื่น คือมุ่งให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและความร่วมมือกับผู้ผลิต, โรงพยาบาล, และองค์กรวิจัยต่างๆ เพื่อสร้างข้อได้เปรียบเชิงธุรกิจและความแตกต่างจากคู่แข่ง พร้อมกับเน้นในเรื่องของความรวดเร็วและขนาดของธุรกิจที่แข่งขันได้

นอกจากนี้ ยังมีการนำความรู้ความเชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาสู่ประเทศไทย ผ่านการลงทุนใน บริษัท โลตัส ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (Lotus Pharmaceutical Co., Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัย พัฒนา ผลิต และจำหน่ายยาของไต้หวันที่มีตลาดครอบคลุมในทุกภูมิภาคของโลก โดยจากเงินลงทุนเริ่มต้นส่งผลให้ปัจจุบันมูลค่าตลาดเติบโตขึ้นถึง 3 เท่า สะท้อนผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่ชัดเจน

ทั้งนี้ ในปี 2568 Lotus ได้เดินหน้ารุกตลาดผลิตภัณฑ์ยาเฉพาะทางในสหรัฐฯ ผ่านการเข้าซื้อหุ้นใน Alvogen US โดยใช้เงินทุนและเงินกู้ของบริษัทเอง ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ทำให้ขนาดของกิจการขยับเป็นบริษัทยา Branded Generics Drug 1 ใน 20 อันดับแรกของโลก ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้อินโนบิกเข้าสู่แพลตฟอร์มยาแบบครบวงจร

ขณะเดียวกัน ยังนำยาคุณภาพดีจากทั้งในประเทศและต่างประเทศมาช่วยเพิ่มคุณภาพในการรักษา ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงเทรนด์เทคโนโลยีและสุขภาพ ทำให้อินโนบิกต้องเร่งพัฒนาตนเอง เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ด้วยการสร้างนวัตกรรมที่ทันสมัย และยาที่มีคุณภาพในราคาที่จับต้องได้เพื่อทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงได้สะดวกขึ้น

“เราเชื่อว่าการอยู่เคียงข้างคนไทย ไม่ได้หมายถึงแค่การเป็นผู้จำหน่ายยา หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น แต่คือการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ด้าน Life Science ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนได้อย่างยั่งยืนด้วย” ดร.บุรณิน กล่าว

ด้าน ดร. ณัฐ อธิวิทวัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ให้มุมมองเพิ่มเติมถึงการปรับแบรนด์ครั้งใหญ่ว่า อินโนบิกมีทั้งหมด 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจยา, กลุ่มธุรกิจโภชนาการเพื่อสุขภาพ, กลุ่มธุรกิจการลงทุน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการปรับกระบวนทัพครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่วางไว้ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเน้นธุรกิจยาเป็นแกนหลักในการเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มยาสำหรับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต อาทิ โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน ควบคู่กับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยต้องการผลักดันให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

ทั้งนี้ การปรับแบรนด์ไม่ได้เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการยกระดับการดำเนินงานทั้งเชิงกลยุทธ์และเชิงปฏิบัติการ เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของอินโนบิก และสะท้อนความมุ่งมั่นขององค์กรในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสุขภาพของประเทศ ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของประชาชน ตั้งแต่การป้องกัน การรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟู เพื่อรองรับการเติบโตในระดับภูมิภาค และเปิดโอกาสร่วมทุนหรือร่วมพัฒนาธุรกิจกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศด้วยเช่นกัน

ดร.ณัฐ กล่าวย้ำว่า อินโนบิก กำลังตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านสุขภาพสำหรับอาเซียนโดยเฉพาะ (Regional Commercial Platform) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครบวงจร จนถึงการนำสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ ควบคู่กับการแสวงหาโอกาสร่วมลงทุนเพื่อเร่งการเติบโตตามเป้าหมาย และหนึ่งในจุดแข็งที่สร้างความได้เปรียบ คือความสามารถในการเชื่อมโยงพันธมิตรระดับนานาชาติ โดยเฉพาะจากการลงทุนในบริษัท Lotus Pharmaceutical ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้อินโนบิกแตกต่างและก้าวได้เร็วกว่าคู่แข่ง

 สำหรับการจัดงาน Innobic Life Science Business Excellent Move Forum ในครั้งนี้ นับเป็นการประกาศถึงจุดเปลี่ยนให้ “อินโนบิก” กลายเป็นแบรนด์ที่ทำให้ผู้คนมีจุดเริ่มต้นสู่ชีวิตที่ดีกว่า ตามสโลแกนใหม่ที่ว่า Access to Excellent Life คือการสร้างนวัตกรรมที่เข้าถึงได้ และนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน