BCH ดีดบวก 2% ส่งซิกไตรมาส 4 แจ่ม รับผู้ป่วยพุ่ง–รายได้โตแกร่ง

BCH ดีดบวก 2% แย้มผลงานไตรมาส 4/68 เด่น รับผู้ป่วยเพิ่มจากโรคตามฤดูกาล ขยายฐานคลินิกรังสีรักษาและศูนย์ความงาม หนุนรายได้ปี 68 โตต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นบวกกว่า 2% จากแรงซื้อดักกำไรโค้งสุดท้ายปีนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(1ธ.ค.68) ราคาหุ้นสัมพันธ์ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ณ เวลา 11:00 น. อยู่ที่ระดับ 10.20 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 2.51% ราคาสูงสุด 10.20 บาท ราคาต่ำสุด 9.95 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 60.92 ล้านบาท

นางสาววิมลมาลย์ กฤษณะกลิน รองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4/2568 มีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้รับผลบวกจากการเลื่อนของโรคตามฤดูกาลที่ต่อเนื่องมาจากเดือนกันยายน

โดยในช่วงไตรมาส 4/2568 จะเป็นช่วงที่บริษัทได้รับปัจจัยสนับสนุนรายได้จากโรคตามฤดูกาลที่ต่อเนื่องมาจากช่วงไตรมาส 3/2568 เนื่องจากการเข้าสู่ฤดูฝนช้าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยทุกกลุ่มมีแนวโน้มเติบโต รวมถึงการขยายฐานผู้ป่วยของคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมรังสีรักษา เกษมราษฎร์อารี ไปยังกลุ่มผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ผ่านโครงการโรคมะเร็งรักษาทุกที่ (Cancer Anywhere) โดยสามารถเข้ารับบริการทางรังสีรักษาได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ คลินิกดังกล่าว ยังสามารถรองรับผู้ป่วยสิทธิประกันสังคม และสิทธิข้าราชการ ผ่านการส่งต่อผู้ป่วยภายในเครือโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ได้เช่นกัน ในขณะเดียวกันโรงพยาบาลในเครือทุกแห่งได้จัดกิจกรรมทางการตลาดและควบคู่กับการให้บริการเชิงรุก จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์โรงพยาบาล และกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องสำหรับกลุ่มผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยในโครงการประกันสังคม เพื่อสร้างการรับรู้และการเติบโตของฐานผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง อาทิ การติดตามและให้บริการตรวจโรคหยุดหายใจขณะหลับ การให้บริการผู้ป่วยกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด 7 หัตถการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงการรักษาของผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคม

นอกจากนี้โรงพยาบาลยังมีการขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านความงามไปยังโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของรายได้ในไตรมาส 4/2568 เช่นกัน

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2568 รายได้รวมยังคงมีการเติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 11,846.15 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 9,033.80 ล้านบาท โดยหลัก ๆ จะมาจากรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยประกันสังคม ทั้งจากจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้น จากโรงพยาบาลสาขาที่บริษัทได้ปรับเปลี่ยนแบรนด์ เช่น โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปทุมธานี และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น ที่ได้มีการปรับปรุงพื้นที่แล้วเสร็จ ทำให้สามารถรองรับผู้ป่วยในกลุ่มผู้ประกันตนได้ดีขึ้น รวมถึงการเพิ่มบริการการฉายรังสีผ่านศูนย์มะเร็งรังสีรักษาเกษมราษฎร์ อารี จะช่วยเพิ่มการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการส่งต่อผู้ป่วยได้ด้วย

ส่วนในไตรมาส 4/2568 ได้ปัจจัยบวกจากรายได้จากประกันสังคมในส่วนของการเบิกจ่ายเงินชดเชยโรคร้ายแรง (AdjRW>2) ซึ่งในปี 2568 สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายในอัตรา 12,000 บาท ทำให้บริษัทได้รับรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากในปี 2567 มีการปรับลด RW>2 จำนวน 6 เดือน รวมถึงโรงพยาบาลในเครือได้เพิ่มการให้บริการสำหรับผู้ป่วยที่ยังคงค้าง เช่น การผ่าตัดแผลเล็ก การเพิ่มห้องตรวจ Sleep Test ซึ่งปัจจุบันมี 37 ห้องตรวจ ใน 11 โรงพยาบาล

ขณะที่ปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามต่อ ยังคงเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ซึ่ง BCH มีโรงพยาบาลตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณดังกล่าว 1 แห่ง คือ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ โดย ปัจจุบันโรงพยาบาลดังกล่าวมีรายได้จากกลุ่มลูกค้าชาวไทยเป็นหลัก และบริษัทได้มีการพา Agency (ตัวแทนขาย) เข้าเยี่ยมชมโรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ ในประเทศลาว ซึ่งจะสามารถส่งต่อคนไข้จากกัมพูชาไปที่เวียงจันทน์ได้ และในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเริ่มมีผู้ป่วยเข้าไปรับการรักษาแล้ว

นางสาววิมลมาลย์ กล่าวอีกว่า ในปี 2569 บริษัทในเครือจะมีการเพิ่มการให้บริการศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง เช่น ศูนย์ปลูกถ่ายไต ศูนย์มะเร็งรังสีรักษา ศูนย์ผ่าตัดศัลยกรรมความงาม ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะมีการเปิดให้บริการที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์

“กลยุทธ์ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวไม่มากนั้น บริษัทจะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เช่น การลดการรอคอยของการรับบริการของผู้ป่วยประกันสังคม การเพิ่มโซนสำหรับการรับยา และการเพิ่มโซนสำหรับการพบแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การส่งต่อผู้ป่วยภายในเครือโรงพยาบาล การจัดตารางแพทย์ พยาบาลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”   นางสาววิมลมาลย์ กล่าว

Back to top button