“ฟินันเซีย” ชี้โครงการโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ หนุนหุ้น WHAUP-BGRIM-GPSC

“ฟินันเซีย” ประเมินโครงสร้างก๊าซใหม่ดันต้นทุน SPP เพิ่ม 5–15 บาท/MMBTU กระทบกำไรปี 69 ชัดเจน ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้ารายใหญ่รับผลจำกัด พร้อมชู WHAUP-BGRIM-GPSC เด่น รับโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ และแนวโน้มต้นทุนลดลง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ธ.ค.68) สืบเนื่องจากที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 เดินหน้าโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ในอัตราค่าไฟฟ้า 2.1679 บาทต่อหน่วย สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี ในรูปแบบ Non-Firm โดยผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละรายสามารถได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้พัฒนาโครงการได้สูงสุดไม่เกิน 30 เมกะวัตต์

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ จากปัจจุบันที่ใช้ระบบ Single Pool Price โดยให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ส่งผลให้ราคาก๊าซที่เข้า–ออกโรงแยกก๊าซ รวมถึงก๊าซที่ใช้ผลิตก๊าซหุงต้ม ใช้ต้นทุนเท่ากับราคาเฉลี่ยก๊าซในอ่าวไทย

ขณะที่ก๊าซสำหรับการผลิตไฟฟ้า ภาคขนส่ง (NGV) และภาคอุตสาหกรรม จะใช้ราคา Pool Price ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของก๊าซจาก 3 แหล่ง ได้แก่ อ่าวไทย เมียนมา และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นำเข้า โดยราคาก๊าซจากอ่าวไทยที่เข้าโรงแยกก๊าซจะสูงกว่าราคาก๊าซจากอ่าวไทยที่นำไปคำนวณใน Pool Price ประมาณ 10% ซึ่งส่วนต่างราคาดังกล่าวจะถูกแบกรับโดยโรงแยกก๊าซ ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FINANSIA ระบุว่า โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน ซึ่งมีกรอบการคัดเลือกที่ค่อนข้างกว้าง และจำกัดกำลังรับซื้อสูงสุด 30 เมกะวัตต์ต่อราย ทำให้ผู้ประกอบการทุกรายมีโอกาสเข้าร่วมโครงการตามพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ส่งผลเป็นบวกต่อผู้ผลิตไฟฟ้าทุกราย แม้ผลประโยชน์ที่จะได้รับอาจแตกต่างกันไปตามกำลังการผลิตที่ได้รับคัดเลือก

สำหรับการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ ฝ่ายวิเคราะห์เปิดเผยว่า ได้สอบถามข้อมูลจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายราย โดยมีปัจจัยหลักที่ใช้ในการประเมิน คือ ระดับราคาและสัดส่วน (% portion) ของ LNG ที่นำมาคำนวณใน Pool Gas ร่วมกับข้อมูลเชิงปฏิบัติการที่มีอยู่ เนื่องจากข้อมูล Pool Gas แบบ Actual รายเดือนที่ใช้จริงยังมีจำกัด ผลการคำนวณเบื้องต้นชี้ว่า ราคาก๊าซในระบบ Pool Gas มีโอกาสเพิ่มขึ้น 5–15 บาทต่อ MMBTU ซึ่งจะส่งผลลบต่อโรงไฟฟ้ากลุ่ม SPP ที่ต้องรับต้นทุนเชื้อเพลิงเอง ขณะที่กลุ่ม IPP จะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากสามารถส่งผ่านต้นทุนเชื้อเพลิงได้ทั้งหมดตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว

โดยฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินว่า หากราคาก๊าซเพิ่ม 10 บาทต่อ MMBTU จะกระทบกำไรปี 2569 ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ราว 250 ล้านบาท หรือ 3.8% ของกำไรสุทธิ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราว 140 ล้านบาท หรือ 5.8% และบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ราว 40 ล้านบาท หรือ 2.6%

ส่วนบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO และบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีสัดส่วนโรงไฟฟ้า SPP ไม่เกิน 10% ของกำลังการผลิตรวม ขณะที่บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG แทบไม่ถูกกระทบทั้งจากราคาก๊าซและค่า Ft เนื่องจากประมาณ 90% ของกำลังผลิตอยู่ต่างประเทศ

นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์ยังระบุว่า โรงแยกก๊าซของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT จะกลับมาใช้ราคาก๊าซจากอ่าวไทยที่สูงกว่าราคาก๊าซใน Pool Price ราว 10% โดยภาระส่วนต่างนี้จะถูกแบกรับโดยโรงแยกก๊าซ ซึ่งฟินันเซียมองว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่าเดิม และจะส่งผลบวกต่อ PTT รวมถึงบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ในฐานะผู้ซื้อก๊าซอีเทนที่ได้ต้นทุนลดลง

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มโรงไฟฟ้าในระดับ “Overweight” แม้มาตรการโครงสร้างราคาก๊าซใหม่จะกดดันผลการดำเนินงานของบางบริษัท แต่ผู้ผลิตไฟฟ้าทุกแห่งยังมีโอกาสได้รับกำลังผลิตใหม่จากโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนเข้ามาช่วยชดเชย นอกจากนี้ ฟินันเซียคาดว่า ค่า Ft งวดเดือนมกราคม–เมษายน 2569 จะทรงตัวที่ 3.94 บาทต่อหน่วย ขณะที่แนวโน้มราคาก๊าซและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง จะเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการของกลุ่มโรงไฟฟ้าในปี 2569 โดยเลือก WHAUP, BGRIM และ GPSC เป็นหุ้นเด่นบนธีมการเติบโตด้านดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Centre-related theme)

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) งวดเดือนมกราคม–เมษายน 2569 ปรับลดเหลือ 3.88 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยค่า Ft สำหรับเรียกเก็บงวดดังกล่าวลดลงจากเดิม 15.72 สตางค์ต่อหน่วย เหลือ 9.72 สตางค์ต่อหน่วย

Back to top button