
เปิดปัจจัยบวก–ลบ ยุบสภาเร็ว “อมรเทพ” มองไม่ช็อกเศรษฐกิจ หนุนแรงส่งปีหน้า
นักเศรษฐศาสตร์ประเมินผลกระทบเศรษฐกิจ หลังรัฐบาลยุบสภาเร็วกว่ากำหนด ชี้ไม่ใช่ช็อกต่อระบบเศรษฐกิจ แต่ซ้อนความเสี่ยงเดิม ทั้งกำลังซื้ออ่อนแอ การลงทุน และข้อจำกัดเชิงนโยบาย “รัฐบาลรักษาการ” พร้อมมองด้านบวกช่วยเพิ่มความชัดเจน เปิดทางงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ในปีหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 มีมุมมองของหลายฝ่ายออกมาแสดงความเห็นโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
สรุปจากมุมมองของ นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB THAI) เกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจภายหลังรัฐบาลยุบสภาเร็วกว่ากำหนด ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “อมรเทพ จาวะลา” ในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 โดยระบุว่า การยุบสภาได้สลายความไม่ชัดเจนด้านเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีเวลาจำกัด และมองว่าการยุบสภาเร็วกว่าข้อตกลงเดิมเพียงเดือนเศษ ไม่น่ากระทบเศรษฐกิจมากนัก
อย่างไรก็ดี นายอมรเทพ มองว่า ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจังหวะทางเศรษฐกิจที่น่ากังวล เนื่องจากประเทศไทยยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจหลังอุทกภัย ปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และปัญหากำลังซื้อที่อ่อนแอ ซึ่งล้วนต้องอาศัยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่สำเร็จ ปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 และอาจต่อเนื่องไปถึงไตรมาสแรกของปีหน้า
นายอมรเทพ ระบุว่า ความเสี่ยงของเศรษฐกิจมีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ 3 ด้าน โดยด้านแรกคือ การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งนักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการตัดสินใจลงทุนเพื่อรอความชัดเจนด้านมาตรการของภาครัฐ หรือนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี เชื่อว่าผลกระทบจะไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนที่ยังไม่คุ้นเคยกับประเทศไทยอาจเลือกใช้กลยุทธ์ wait and see ขณะที่นักลงทุนที่มีความคุ้นเคยและตั้งใจลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้ว น่าจะยังเดินหน้าลงทุนและแสวงหาโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยไม่จำเป็นต้องรอผลการเลือกตั้ง
ความเสี่ยงด้านที่สอง คือ กำลังซื้อของประชาชน โดยการยุบสภาอาจทำให้รัฐบาลมีข้อจำกัดในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น โครงการคนละครึ่ง เฟส 2 มาตรการลดหย่อนภาษี รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และการอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ อย่างไรก็ดี มาตรการและโครงการลงทุนที่ดำเนินการอยู่แล้ว ยังสามารถเดินหน้าต่อได้ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีม่วงใต้ และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน
ส่วนความเสี่ยงด้านที่สาม คือ ความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน โดยนายอมรเทพมองว่า การยุบสภาเร็วกว่ากำหนดเดิมเพียงเล็กน้อย ไม่น่ากระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากนัก และไม่น่าทำให้ค่าเงินบาทหรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 17 ธันวาคมนี้ จากระดับ 1.50% เหลือ 1.25% ทั้งนี้ นายอมรเทพมองว่า แม้ไม่มีการยุบสภา คณะกรรมการนโยบายการเงินก็มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอยู่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงต้นปีหน้า และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า
ขณะเดียวกัน นายอมรเทพ มองว่า การยุบสภาเร็วกว่ากำหนดเดิมยังมีปัจจัยบวกอยู่ 3 ด้าน ได้แก่ ความเป็นไปได้ที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2570 จะผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาชุดใหม่ได้ทันกำหนดในวันที่ 1 ตุลาคม 2569 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลชุดใหม่มีงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน แตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อน นอกจากนี้ ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ยังมีโอกาสเร่งการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา รวมถึงการเจรจาการค้าเสรีกับประเทศอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และสนับสนุนการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี
นายอมรเทพ ระบุเพิ่มเติมว่า เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ คาดว่าจะมีความชัดเจนด้านงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลรักษาการอาจมีข้อจำกัดด้านอำนาจในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลชุดใหม่จะสามารถดำเนินนโยบายได้รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน
ทั้งนี้ นายอมรเทพ ระบุว่า ยังคงไม่ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ แม้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจในปีหน้าอาจขยายตัวต่ำกว่าปีนี้ แต่การยุบสภาเร็วกว่ากำหนดเดิมเล็กน้อยไม่ได้เปลี่ยนมุมมองดังกล่าว และยังมองว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีโอกาสได้รับแรงส่งและความชัดเจนมากขึ้น โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่น ดึงดูดการลงทุน เพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณ และดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เหลือจากนี้ไป