
“ดาวโจนส์” ปิดลบ 302 จุด หุ้นพลังงานกดดันตลาด แม้จ้างงานสหรัฐดีกว่าคาด
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสม “ดาวโจนส์” ร่วง 302 จุด จากแรงกดดันหุ้นพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงแรง ขณะที่ตัวเลขจ้างงานสหรัฐออกมาดีกว่าคาด แต่ภาพรวมตลาดแรงงานยังเปราะบาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนวันอังคาร (16 ธ.ค.68) ปิดการซื้อขายแบบผสม โดยดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ปิดในแดนลบ ขณะที่ Nasdaq ปิดบวกเล็กน้อย ท่ามกลางแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงแรง ขณะที่นักลงทุนประเมินข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐหลายรายการซึ่งยังไม่ทำให้ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในระยะถัดไปชัดเจน
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 48,114.26 จุด ลดลง 302.30 จุด หรือ -0.62%
- ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 6,800.26 จุด ลดลง 16.25 จุด หรือ -0.24%
- ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 23,46 จุด เพิ่มขึ้น 54.05 จุด หรือ +0.23%
ปัจจัยกดดันหลักมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง โดยสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม หลังนักลงทุนประเมินว่า ความเป็นไปได้ของข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนมีมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรและเพิ่มปริมาณน้ำมันในตลาด กดดันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ด้านตลาดแรงงาน กระทรวงแรงงานสหรัฐ รายงานว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 64,000 ตำแหน่ง หลังเดือนตุลาคมหดตัว 105,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานเดือนพฤศจิกายนปรับขึ้นสู่ระดับ 4.6%
สำหรับภาพรวมรายกลุ่มในดัชนี S&P 500 พบว่า จาก 11 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก มี 8 กลุ่มปิดในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงมากที่สุดราว 3% ตามทิศทางราคาน้ำมัน ส่วนหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ลดลง 1.28%
โดยหุ้นไฟเซอร์ ปรับตัวลดลง 3.4% หลังบริษัทคาดการณ์ว่าปี 2569 จะเผชิญความท้าทายจากยอดขายผลิตภัณฑ์โควิด-19 ที่อ่อนแอลงและอัตรากำไรที่ถูกกดดัน ขณะที่หุ้นฮิวมานา ร่วงลง 6% ภายหลังบริษัทประกันสุขภาพรายดังกล่าวประกาศการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารโดยไม่เปิดเผยรายละเอียด
ขณะที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้งระยะสั้นและระยะยาวปรับลดลง หลังนักลงทุนประเมินข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด ซึ่งยังสะท้อนแรงกดดันต่อตลาดแรงงานและแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะถัดไป

