“กรุงศรี” ชี้ กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% หนุนดัชนีราว 55 จุด ชู 6 หุ้นปันผลยีลด์เกิน 4%

“ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์” บล.กรุงศรี ประเมิน กนง.มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 0.25% รับเศรษฐกิจชะลอ น้ำท่วม ปัญหาชายแดน และความไม่แน่นอนทางการเมือง ชี้เป็นบวกต่อตลาดหุ้นราว 55 จุด เพิ่มโอกาสเงินไหลกลับ พร้อมแนะสะสมหุ้นปันผลเด่นครึ่งปีหลัง ชู SCB-KBANK-KTC-PYLON-AP-SC ยีลด์สูงเกิน 4%


นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย และนักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยผ่านรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด วันนี้ (17 ธ.ค.68) ว่า โดยประเมินการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) วันนี้มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  0.25% ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ในตลาดคาดว่าประมาณร้อยละ 98  กนง.รอบนี้มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย

โดยหตุผลสนับสนุนการลดดอกเบี้ยมาจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจหลายด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัญหาน้ำท่วมในภาคกลางและภาคใต้ สถานการณ์ชายแดนที่ยืดเยื้อ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยที่เปิดทางให้นโยบายการเงินต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ขณะที่โอกาสการปรับลดดอกเบี้ยในระดับ 0.50% ยังมีไม่มากนัก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ราว 1.50% ทำให้ช่องว่างในการปรับลดจำกัด เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้หากมีการลดดอกเบี้ย 0.25% ประเมินว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยมองโอกาสหนุนดัชนีได้ราว 55 จุด จากภาวะ “การโยกย้ายเงินลงทุน” ที่ผู้ลงทุนบางส่วนอาจปรับพอร์ตจากสินทรัพย์ปลอดภัยกลับสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ขณะที่ภาพรวมผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปียังติดลบ 10%  ทำให้มุมมองต่อการไหลกลับของเม็ดเงินลงทุนยังมีความเป็นไปได้ หากทิศทางดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงขาลง

สำหรับความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ย 0.50% แม้ยังมีโอกาสเกิดขึ้น แต่ให้ความน่าจะเป็นไม่สูง เนื่องจากระดับดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว จึงมองว่าการลด 0.25% เป็นระดับที่เหมาะสมและยังคงมีพื้นที่ให้ดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างสมดุล

ด้านปัจจัยหุ้นรายตัว มองว่าหุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่กดดัชนีในช่วงก่อนหน้า เช่น  DELAT อาจมีโอกาสฟื้นตัวในระยะสั้นจากบรรยากาศหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศที่ปรับดีขึ้น และจากธีมดอกเบี้ยขาลงซึ่งเอื้อต่อกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตามในระยะกลางถึงยาวยังไม่แนะนำการเก็งกำไร เนื่องจากมีประเด็นการถูกจำกัดน้ำหนักการลงทุนและการถูกลดระดับคะแนนด้าน ESG ซึ่งอาจทำให้กองทุนและนักลงทุนสถาบันทยอยลดน้ำหนักการถือครอง

ขณะเดียวกันตลาดยังต้องติดตามปัจจัยภายนอกเพิ่มเติม โดยเฉพาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ โดยคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะคงอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางค่าเงินยูโรและเงินเยน และมีนัยต่อการเคลื่อนไหวของดอลลาร์ หากดอลลาร์อ่อนค่ามีโอกาสสนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่า ซึ่งมักเป็นภาพบวกต่อกระแสเงินทุนต่างชาติ รวมถึงกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนนำเข้าและดอกเบี้ยขาลง อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มที่มีการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ ขณะที่กลุ่มส่งออกอาจเผชิญแรงกดดันจากเงินบาทแข็งค่าได้

ส่วนปัจจัยในประเทศ มุมมองระบุว่า การยุบสภาทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยคาดหวังช่วงปลายปีมีน้ำหนักลดลง ส่งผลให้นโยบายการเงินมีบทบาทเด่นขึ้นในฐานะกลไกหลักพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น และยังต้องติดตามเส้นทางการเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดไว้วันที่ 8 ก.พ.69 หากเกิดความล่าช้าอาจกระทบความเชื่อมั่นและทำให้การผลักดันงบประมาณ รวมถึงการเบิกจ่ายและโครงการลงทุนภาครัฐชะลอตัว ซึ่งอาจเป็นลบต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและหุ้นที่พึ่งพางานโครงการขนาดใหญ่

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนข้ามปีมองว่าช่วงปลายเดือนธันวาคมต่อเนื่องต้นปีเป็นจังหวะสะสม “หุ้นปันผล” โดยเฉพาะหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลมากกว่า 4% ซึ่งตามสถิติมักให้ผลตอบแทนดีในไตรมาสแรกของทุกปีจากแรงซื้อเพื่อรับปันผลและโอกาสกำไรจากส่วนต่างราคา

โดยเน้นหุ้นขนาดใหญ่ Big Cap แนะนำกลุ่มธนาคาร ได้แก่ SCB คาด Dividend Yield ครึ่งปีหลัง 2568 ที่ระดับ 6.9%,KBANK คาด Dividend Yield ที่ระดับ 5.3% และ KTC คาด Dividend Yield ที่ระดับ 4.7%

ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กที่ได้รับผลกระทบจำกัดและอยู่ในวัฏจักรอุตสาหกรรมขาขึ้น โดยมองกลุ่มรับเหมาฯอุตสาหกรรมเสาเข็มเป็นขาขึ้นแนะนำ PYLON คาด Dividend Yield ครึ่งปีหลัง 68 ที่ระดับ 9.3% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แนะนำ AP จ่ายปันผลครั้งเดียวคาด Dividend Yield ที่ระดับ 7.1% และ SC คาด Dividend Yield ครึ่งปีหลัง 68 ที่ระดับ 4.7%ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง

Back to top button