
กกต. ย้ำอีก 15 วันรู้! รอ “นายก” ชี้ขาดทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง–มีแผนสำรองชายแดนยืดเยื้อ
เลขาธิการ กกต. ระบุมีแผนรองรับสถานการณ์ชายแดน ย้ำการจัดการเลือกตั้งไม่กระทบ ส่วนการทำประชามติควบคู่กับวันเลือกตั้งหรือไม่ ต้องรอความชัดเจนภายใน 15 วัน โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ชี้ขาด หากจัดพร้อมกันจะช่วยลดงบประมาณลงได้กว่า 2,000 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 ธ.ค. 2568) นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีหนังสือแจ้งมติ ครม. เห็นชอบ เรื่อง คำถามการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่งถึง กกต. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 เป็นไปตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564
นายแสวง ระบุว่า หากจะดำเนินการออกเสียงประชามติ ครม. ต้องแจ้งรายละเอียดสำคัญ 5 ประการให้ กกต. ทราบล่วงหน้า เพื่อจัดทำเอกสารเผยแพร่ให้ประชาชนศึกษา ได้แก่ ชื่อเรื่อง เหตุผลและความจำเป็น สาระสำคัญ ขั้นตอนการออกเสียงประชามติ งบประมาณ รวมถึงประโยชน์และข้อดี–ข้อเสีย ทั้งนี้ แม้หนังสือดังกล่าวจะส่งถึงแล้ว แต่ยังไม่ถือว่าเริ่มกระบวนการประชามติทันที ต้องรอระยะเวลาอีก 15 วันตามที่กฎหมายกำหนด โดย นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ประกาศวันออกเสียงประชามติ
สำหรับประเด็นว่าการออกเสียงประชามติจะตรงกับวันเลือกตั้งหรือไม่นั้น นายแสวง ย้ำว่า เป็นดุลพินิจของ ครม. ไม่ใช่อำนาจของ กกต.
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ตามกรอบเวลาดังกล่าว การจัดประชามติในวันเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 สามารถทำได้หรือไม่ เลขาธิการ กกต. ระบุว่า สามารถดำเนินการได้ โดยหลักการทั่วไปต้องจัดภายในกรอบไม่น้อยกว่า 60 วัน และไม่เกิน 150 วัน นับจากวันที่ 31 ธันวาคม 2568 อย่างไรก็ดี มาตรา 11 วรรคสาม เปิดช่องให้ ครม. สามารถกำหนดวันออกเสียงต่างจากกรอบเวลาดังกล่าวได้ หากมีเหตุจำเป็นหรือเพื่อประหยัดงบประมาณ
ทั้งนี้ การหารือกับ กกต. มีขึ้นเพื่อประเมินความพร้อมด้านการดำเนินงาน ทั้งการจัดทำและเผยแพร่เอกสาร รวมถึงการเปิดพื้นที่แสดงความคิดเห็น ซึ่ง กกต. ได้ให้ข้อมูลกับฝ่ายรัฐบาลไปแล้ว พร้อมยืนยันความพร้อมในการปฏิบัติงาน ส่วนการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเป็นเรื่องที่ ครม. ต้องพิจารณาเอง
ส่วนประเด็นงบประมาณ นายแสวง กล่าวว่า หากมีการจัดการออกเสียงประชามติควบคู่กับการเลือกตั้ง จะช่วยลดภาระงบประมาณลงได้หลายพันล้านบาท โดยกฎหมายกำหนดให้ กกต. ต้องหารือร่วมกับคณะรัฐมนตรีในประเด็นดังกล่าว แต่หากจัดแยกกันจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มเป็นสองเท่า เนื่องจากมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 53 ล้านคน คิดเป็นค่าใช้จ่ายราวหลักหมื่นล้านบาท แต่หากจัดวันเดียวกัน งบประมาณจะลดลงเหลือประมาณ 8,000 กว่าล้านบาท
ผู้สื่อข่าวถามถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในหลายจังหวัดที่อาจกระทบการเลือกตั้ง เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวกระทบกับความเป็นอยู่ของประชาชน รวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้ปฏิบัติงาน แต่อาจจะไม่กระทบกับการจัดการเลือกตั้ง
“เรามีหน้าที่มีวิธีการบริหาร เราก็คงอยากให้การเลือกตั้งเป็นไปตามกำหนดวัน แต่มันกระทบกับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนแน่นอนเพราะเขาอพยพ แต่ว่าบางครั้งก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยในการร่วมมือแก้ปัญหา ซึ่งเราอำนวยความสะดวกอยู่แล้ว อาจจะไม่ได้ลำบากอะไร”
นายแสวง กล่าวว่า กกต. มีแผนรองรับสถานการณ์ชายแดนไว้แล้ว ส่วนหากมีการประกาศกฎอัยการศึกต้องพิจารณาสาระสำคัญของกฎอัยการศึก โดยยืนยันว่า กกต. สามารถบริหารจัดการการเลือกตั้งได้ ภายใต้สถานการณ์พิเศษ ตามกรอบกฎหมาย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงการเลื่อนวันเลือกตั้ง เลขาธิการ กกต. กล่าวย้ำว่า “ก็ผมบอกว่าถ้าเราจัดการเลือกตั้งมันไม่กระทบ” เมื่อถามอีกว่า สามารถจัดหน่วยเลือกตั้งในศูนย์อพยพได้หรือไม่ นายแสวง ระบุว่า ตอนนี้ยังไม่ตอบ ตอนนี้ต้องประเมินไปก่อน แต่ว่ามีทางออก “มีเอาคนไปหาหน่วย กับเอาหน่วยไปหาคน”
สำหรับคำถามการออกเสียงประชามติ ที่ครม. ส่งถึงกกต. คือ
1.1 “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ตามมติที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568
1.2 “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ซึ่งเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 9 วรรคสอง (2) และ (4) และมาตรา 11 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

