ALLA ไม่แรงอย่างที่คิด Pre Open 5 นาทีแรกราคาอยู่ที่ 3.30 บ.

ALLA ไม่แรงอย่างที่คิด  Pre Open 5 นาทีแรกราคาอยู่ที่ 3.30 บ. โดยจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายก่อนเปิดตลาดประมาณ 33.27  ล้านหุ้น ด้านฝั่งซื้อ (Bid) ประมาณ 25.80 ล้านหุ้น ส่วนฝั่งขาย (Offer) ประมาณ 25.52 ล้านหุ้น ขณะที่ ผู้บริหารมั่นใจเปิดเหนือจองแน่นอน โดยมี บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน  


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทออลล่า จำกัด (มหาชน) หรือ ALLA  มีราคาก่อนเปิดตลาด (Pre Open) 5 นาที อยู่ที่  3.30 บาท  โดยจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายก่อนเปิดตลาดประมาณ 33.27 ล้านหุ้น ด้านฝั่งซื้อ (Bid) ประมาณ 25.80 ล้านหุ้น ส่วนฝั่งขาย (Offer) ประมาณ 25.52 ล้านหุ้น ขณะที่ ผู้บริหารมั่นใจเปิดเหนือจองแน่นอน โดยมี บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ด้าน นายองอาจ ปัณฑุยากร กรรมการผู้จัดการ ALLA เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจหุ้นของบริษัทที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกในวันนี้ (8 พ.ย.) จะปรับตัวขึ้นเหนือราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ 2.88 บาท/หุ้น จากการที่บริษัทมีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีโอกาสที่จะเติบโตในอนาคต ขณะที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายคลังสินค้าและโรงงาน ทำให้สามารถรองรับงานที่กำลังจะเข้ามาเพิ่มขึ้นในอนาคตข้างหน้า

“ALLA เป็นหุ้น IPO ที่มีความน่าสนใจ จากพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเหล็ก วัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ที่จะกลับมาฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งเรายังมองเห็นถึงโอกาสในการขยายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าต่างๆ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง อีกทั้งเราอยากให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่า ผมที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะไม่ทิ้งหุ้นอย่างแน่นอน ผมมั่นใจในตัวบริษัทอย่างมาก ตอนนี้หุ้นที่ยังถืออยู่ 75% ก็ยังอยู่ใน TSD”นายองอาจกล่าว

 

ขณะที่ บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมาย ALLA ที่ 4.41 บาทสำหรับปี 60 โดยประเมินด้วยวิธี PER โดยใช้ Prospect PER ที่ระดับ 18 เท่าซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่อยู่ที่ระดับ 20 เท่า โดยคำนวณกำไรต่อหุ้นสำหรับปี 60 ได้เท่ากับ 0.245 บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม มองว่าโครงสร้างรายได้ในช่วงครึ่งแรกปี 59 ประกอบด้วยรายได้จากการขายเครนและรอกไฟฟ้า 61.70% รายได้จากการขายประตูอุตสาหกรรมและสะพานปรับระดับ 17% รายได้จากการขายม่านริ้วพีวีซีและม่านตัดอากาศ 1.5% และรายได้การให้บริการและรายได้อื่น 19.8%

ทั้งนี้ความต้องการใช้เครนและรอกไฟฟ้ามีศักยภาพในการเติบโตตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และธุรกิจค้าเหล็ก ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 59 โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีจำนวน เพิ่มขึ้นถึง 102%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขณะที่มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นถึง 348% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยรายได้มีศักยภาพในการเติบโตตามการเพิ่มขึ้นของการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักประกอบกับหลังการระดมเพื่อใช้ขยายธุรกิจในการก่อสร้างคลังสินค้าทำให้สามารถเพิ่มปริมาณงานที่ให้บริการลูกค้าได้มากขึ้น รวมทั้งมีกลยุทธ์ในการสร้างรายได้ค่าบริการช่วยหนุนผลประกอบการโดยรวมให้เติบโตตามไปด้วย

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 59 มีรายได้ 425 ล้านบาทลดลง 33% และมีกำไร 46 ล้านบาท ลดลง 44% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยประมาณการรายได้ปี 59 ราว 801 ล้านบาทหดตัว 8% ประมาณการกำไรอยู่ที่ราว 90 ล้านบาทลดลง 11% ซึ่งน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของผลประกอบการของบริษัท

ทั้งนี้คาดว่ารายได้และกำไรในปี 60 จะพลิกฟื้น โดยรายได้เติบโต 37% หรือ 1,097 ล้านบาทและกำไรเติบโต 63% หรือ 147 ล้านบาท สำหรับปี 61 คาดการณ์รายได้จะอยู่ที่ราว 1,234 ล้านบาท เติบโต 13% และคาดกำไรเติบโตต่อเนื่องราว 14% เป็น 168 ล้านบาท ตามลำดับ แสดงถึง CAGR ของกำไรระหว่างปี 59-61 อยู่ที่ราว 8%

Back to top button