SUN ยิ้มออก! ราคาหุ้นบวกคืน 6% โบรกฯ แนะซื้อ เคาะเป้าสูง 7.20 บ.

SUN ยิ้มออก ราคาหุ้นบวกคืน 6% โบรกฯ แนะซื้อ เคาะเป้าสูง 7.20 บ. ฟาก ผู้บริหารมั่นใจกำไรปีนี้โตแจ่ม ล่าสุด ณ เวลา 10.17 น. อยู่ที่ 5.55 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 5.71% สูงสุดที่ 5.70 บาท ต่ำสุดที่ 5.35 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 195.97 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ล่าสุด ณ เวลา 10.17 น. อยู่ที่ 5.55 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 5.71% สูงสุดที่ 5.70 บาท ต่ำสุดที่ 5.35 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 195.97 ล้านบาท

ทั้งนี้ SUN เข้าซื้อขายในตลาดวานนี้ (28 ธ.ค.) เป็นวันแรก โดยปิดเทรดที่ 5.25 บาท ลบ 0.60 บาท หรือ 10.26% จากราคา IPO ที่ 5.85 บาท สูงสุดที่ระดับ 5.85 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.25 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 694.26 ล้านบาท

ด้าน บล.ทรีนีตี้ ระุบในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” SUN ราคาเป้าหมาย 7.20 บาท/หุ้น อ้างอิงระดับ PER ที่ราว 17 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 0.21 บาทต่อหุ้นต่อปี จากนโยบายการจ่ายปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ต่อปี

ทั้งนี้ประเมิน ณ สิ้นปี 61 SUN จะมีรายได้รวมราว 1,995 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นที่ราวร้อยละ 21.6 ซึ่งจะส่งผลให้คาดว่ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 182 ล้านบาท และปี 62 อยู่ที่ 281 ล้านบาท โดยอัตรากำไรสุทธิต่อยอดขายอยู่ที่ราวร้อยละ 9.1 คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ย(CAGR) ปี 59-62 ราวร้อยละ 9.8 ต่อปี

สำหรับ SUN มีจุดเด่นในการลงทุนดังนี้ (1) มีตราสินค้าของบริษัทเอง ได้แก่ “KC” (2) ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐาน เช่น HACCP, BRC, GMP, Halal และ Kosher เป็นต้น และได้รับการส่งเสริมการลงทุนโดย BOI (3) มีช่องทางจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ (4) การกำหนดราคาเป็นไปตามต้นทุนของผลิตภัณฑ์บวกด้วยอัตรากำไร และมีการทบทวนราคาสม่ำเสมอเพื่อบริหารอัตรากำไร

ส่วน นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SUN เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในปี 60 คาดจะมีกำไรสุทธิเติบโตมากกว่าปี 59 ที่มีกำไรสุทธิ 111.66 ล้านบาท เนื่องจากงวด 9 เดือนแรกของปี 60 บริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว จำนวน 111.49 ล้านบาท

โดยการเติบโตของกำไรสุทธิดังกล่าวเป็นผลมาจากบริษัทมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวลดลง และยังมีการทำสัญญากับเกษตรกรในลักษณะ (Contract Farming) ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบที่จะสามารถควบคุมปริมาณวัตถุดิบที่ต้องการนำมาผลิตสินค้าได้ตรงตามจำนวน และความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรที่เป็นคู่สัญญามากกว่า 20,000 รายทั่วประเทศ และมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 50,000-100,000 ไร่

นอกจากนี้ยังได้พัฒนาและคิดค้นระบบ SMART FARM เพื่อนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับการพัฒนากระบวนการเพาะปลูกให้แก่เกษตรกรผู้ปลูก ซึ่งสามารถเพิ่มคุณภาพ และปริมาณผลผลิต ดังนั้นจะสามารถลดต้นทุนในการผลิตได้ และผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตอย่างมั่นคง

อย่างไรก็ตามในปี 60 บริษัทประเมินว่า รายได้รวมจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ แต่ปรับลดลงจากปี 59 ที่มีรายได้รวมจำนวน 1,725.95 ล้านบาท ขณะที่ประเมินว่าอัตรากำไรสุทธิจะไม่ต่ำกว่า 8% จากปี 2559 อยู่ที่ 6.46% ส่วนค่าเงินบาทที่มีความผันผวนค่อนข้างมาก ทางบริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนกว่า 70% จากเดิมที่ระดับ 50-60% ทำให้ไม่มีความกังวลจากกรณีดังกล่าว

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในปี 61 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้เติบโต 10% จากปี 60 และตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิจะมากกว่างวด 9 เดือนแรกของปี 60 ที่อยู่ที่ระดับ 8.75% เนื่องจากบริษัทจะมีแผนขยายตลาดในประเทศใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น ในทวีปเอเชียที่มีกลังซื้อสูง เป็นต้น จากปัจจุบัน มีฐานลูกค้ามากกว่า 200 รายกระจายอยู่มากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

Back to top button