“เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 75 ล้านหุ้น ระดมทุนขยายธุรกิจ-คืนเงินกู้ยืม

"เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 75 ล้านหุ้น เล็งเทรด SET หวังระดมทุนขยายธุรกิจ-คืนเงินกู้ยืม โดยมีบล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน


บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 2 พ.ย.2561 บริษัทฯมีความต้องการจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มมทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และมีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วยการขยายสาขา การปรับปรุงสาขา และการปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน และใช้ชำระคืนเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

โดยบริษัทฯ ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่น ผ่านการดำเนินงานของบริษัทย่อยจำนวน 7 บริษัท ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัท เซ็นเรสเตอร์รองโฮลดิ้ง จำกัด (ZRH), บริษัท อากะอินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด (AKF), บริษัท กิวกริลกรุ๊ป จำกัด (GGG), บริษัท สไปซ์ ซินเนอจี้ จำกัด (SYN), บริษัท โตเกียว คอนเซปท์ จำกัด (OTT), บริษัท เซ็น แอนด์ สไปซี่ จำกัด (ZPC) และบริษัท เซ็น ซัพพลาย เชน แมเนจเม้นท์ จำกัด (ZSM)

ขณะที่ปัจจุบัน ธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ, ธุรกิจแฟรนไชส์ ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ, ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่น ได้แก่ 1) ธุรกิจการบริการจัดส่งอาหาร (Delivery) และการบริการจัดเลี้ยง (Catering), 2) ธุรกิจการให้บริการบริหารร้านอาหาร (Restaurant Management) และการให้บริการที่ปรึกษาเกี่ยวกับร้านอาหาร (Restaurant Consultancy)

และ 3) ธุรกิจอาหารค้าปลีก เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุง (Ready-to-Cook) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน (Ready-to-Eat) เป็นต้น

ทั้งนี้ ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ มีแบรนด์ร้านอาหารภายใต้การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ จำนวนทั้งสิ้น 11 แบรนด์ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น จำนวน 6 แบรนด์ ได้แก่ ZEN, Musha by ZEN, Sushi Cyu Carnival Yakiniku, AKA, Tetsu, On the Table Tokyo cafe และกลุ่มแบรนด์ร้านอาหารไทย จำนวน 5 แบรนด์ ได้แก่ ตำมั่ว, ลาวญวน, แจ่วฮ้อน, เฝอ, de Tummour

โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 กลุ่มบริษัทฯ มีร้านอาหารที่เปิดดำเนินการภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งสาขาที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นเจ้าของ และสาขาแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 237 สาขา โดยแบ่งออกเป็นสาขาที่กลุ่มบริษัทฯ เป็นเจ้าของจำนวน 101 สาขา และสาขาแฟรนไชส์จำนวน 136 สาขา

สำหรับโครงการในอนาคตที่สำคัญ ประกอบด้วยแผนการขยายสาขาร้านอาหาร และการปรับปรุงสาขาร้านอาหาร และการขยายสาขาแฟรนไชส์ ดังนี้คือ ในปี 61 เปิดสาขาใหม่ 15 สาขา, ปี 62 เปิดสาขาใหม่ 34 สาขา และปี 63-65 เปิดสาขาใหม่ 190 สาขา ส่วนการปรับปรุงสาขาเดิม ในปี 61 มี 4 สาขา, ปี 62 มี 12 สาขา และปี 63-65 มี 45 สาขา คาดว่าปี 61 จะใช้เงินลงทุน 120 ล้านบาท, ปี 62 ใช้เงินลงทุน 250 ล้านบาท และปี 63-65 ใช้เงิน 1,200 ล้านบาท สำหรับสาขาแฟรนไชส์จะเปิดใหม่ในปี 61 จำนวน 25 สาขา, ปี 62 เปิด 90 สาขา และปี 63-65 เปิด 800 สาขา

นอกจากนี้ มีแผนการพัฒนาและนำเสนอแบรนด์ร้านอาหารใหม่  โดยในปี 2561 กลุ่มบริษัทฯ ได้นำเสนอแบรนด์ Musha ซึ่งเป็นแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ที่เป็นการพัฒนาและปรับเปลี่ยนเมนูจากแบรนด์ร้านอาหาร ZEN และมีขนาดเล็กกว่าร้าน ZEN เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคและครอบคลุมกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง โดยเน้นเมนูอาหารเป็นแบบอาหารจานเดียวในราคาที่ย่อมเยา และจะมีรายการอาหารน้อยกว่าร้านอาหาร ZEN ทำให้การบริหารจัดการร้านมีความคล่องตัว ทั้งในด้านต้นทุนและจำนวนพนักงานต่อสาขา รวมทั้งกลุ่มบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะต่อยอดร้านอาหาร Musha ด้วยการขายแฟรนไชส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

ส่วนแผนการพิจารณาเข้าซื้อกิจการร้านอาหาร กลุ่มบริษัทฯ มีแผนการในการเข้าซื้อกิจการของผู้ประกอบกิจการ และ/หรือ ควบรวมกิจการ และ/หรือ ร่วมทุนในกิจการ กับผู้ให้บริการร้านอาหารรายอื่น เพื่อเป็นการขยายประเภทของร้านอาหาร แบรนด์ และจำนวนสาขาร้านอาหาร ภายใต้การดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ

รวมถึงเป็นการเพิ่มช่องทางในการจำหน่าย และเครื่องมือในการเจาะและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น การเข้าซื้อกิจการ และ/หรือ ควบรวมกิจการ และ/หรือ ร่วมทุนในกิจการ ที่เหมาะสม สามารถส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และยังเป็นการลดความเสี่ยงทางธุรกิจ (Diversify)

ด้านผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2561 รายได้จากการขายและบริการ 1,406 ล้านบาท รายได้รวม 1,469.3 ล้านบาท ต้นทุนขายและบริการ 1,092.4 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายและการบริหาร 276.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 71.1 ล้านบาท  โดยมีสินทรัพย์รวม 1,508.8 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,102.2 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 406.6 ล้านบาท

อนึ่ง ปัจจุบันบริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 300,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.0 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 225,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 225,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.0 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวน 75,000,000 หุ้นในครั้งนี้แล้ว บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งสิ้น 300,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญชำระแล้วจำนวน 300,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.0 บาท

ขณะที่ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 25 ต.ค.2561 ประกอบด้วย บริษัท เอจีบี ซิบลิ้งส์ โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 75 ล้านหุ้น คิดเป็น 33.3% หลังเสนอขาย IPO ครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 25%, เอจีบี โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ถือหุ้น 65.40 ล้านหุ้น คิดเป็น 29.1% หลังเสนอขาย IPO ครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 21.8%, นางสาวจอมขวัญ จิราธิวัฒน์ ถือหุ้น 21.535 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.6% หลังเสนอขาย IPO ครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 7.2%, นายสรรคนนท์ จิราธิวัฒน์ ถือหุ้น 21.535 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.6% หลังเสนอขาย IPO ครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 7.2%

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญากู้ (ถ้ามี)

Back to top button