MILL ขาขึ้นรอบใหม่! บวกแรง 7% ลุ้นผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์!

MILL ขาขึ้นรอบใหม่! บวกแรง 7% ลุ้นผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์! หลังโชว์ 6 เดือนแรก พลิกกำไรแตะ 119 ลบ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(23 ส.ค.64) ราคาหุ้น บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ณ เวลา 15.07 น. อยู่ที่ระดับ 1.33 บาท บวก 0.09 บาท หรือ 7.26% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 81.20 ล้านบาท คาดเก็งกำไรผลงานปีนี้สดใส หลังผลงานไตรมาส 2/2564 และงวด 6 เดือนแรกปี 2564 พลิกมีกำไรโดดเด่น

โดยนายประวิทย์  หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน)หรือ MILL เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564  บริษัทมีกำไรสุทธิ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 297% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2563 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 16 ล้านบาท

ทั้งนี้กำไรสุทธิดังกล่าว ยังไม่ได้รวมผลการดำเนินงานของ บริษัท โคเบลโก้ มิลล์คอน สตีล จำกัดหรือ KMS ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในสัดส่วน 50% กับโกเบสตีล ลิมิเต็ด ดำเนินการผลิตและจำหน่ายเหล็กลวดเกรดทั่วไปและเหล็กลวดเกรดพิเศษ ซึ่งปัจจุบันสามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายเหล็กลวดเกรดพิเศษสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสามารถกลับมาดำเนินการมีผลกำไรได้แล้ว

โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 KMS มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 268 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 2  มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 125 ล้านบาท หากรวมกับกำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาสนี้ จะส่งผลให้ MILL มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 128 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมไตรมาส 2/2564 จำนวน 4,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,846 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,621 ล้านบาท

โดยมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 4,413 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น 39% ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาเหล็กในตลาดโลก ซึ่งรวมถึงราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้บริษัทมีต้นทุนขายและบริการอยู่ที่ 4,183 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37%

ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 6 ล้านบาท หรือลดลง 6 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากค่าขนส่งที่ลดลง ขณะที่ต้นทุนทางการเงินลดลง 9 ล้านบาท จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลด และการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัท

ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิ.ย 2564 อยู่ที่ 6,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103 ล้านบาท จากผลการดำเนินงาน ในช่วง 6 เดือนแรกของบริษัท ส่งผลให้มีหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 2.19 เท่า

นายประวิทย์ ยังได้กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กว่าจากสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจีน ที่มีนโยบายปิดโรงงานเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน และยกเลิกนโยบายการคืนภาษีส่งออก (Tax rebate) ส่งผลให้ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งรวมถึงราคาเหล็กในประเทศไทยด้วย ส่งผลให้การบริโภคเหล็กในประเทศเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

จากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ประเทศไทยมีการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 37.4 %  จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีปริมาณอยู่ที่ 5.17 ล้านตัน โดยการบริโภคเหล็กทรงยาวเพิ่มขึ้น 34.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีปริมาณอยู่ที่ 1.73 ล้านตัน  แบ่งเป็นการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ (Bar & HR section) อยู่ที่ 0.95 ล้านตัน  เพิ่มขึ้น 48.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน

ขณะที่การบริโภคเหล็กลวด (Wire rod) อยู่ที่ 0.70 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 28.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน การบริโภคเหล็กทรงแบน มีปริมาณอยู่ที่ 3.44 ล้านตันซึ่งเพิ่มขึ้น38.8%จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

Back to top button