EVER พุ่งกระฉูด 14% นิวไฮรอบ 2 เดือน คาดเก็งฯหุ้นต่ำบุ๊ก-ลุ้นครึ่งปีหลังผลงานฟื้นเด่น

EVER พุ่งกระฉูด 14% นิวไฮรอบ 2 เดือน คาดเก็งกำไรหุ้นต่ำบุ๊ก-ลุ้นครึ่งหลังผลงานฟื้นเด่น ตุน Backlog แน่นกว่า 3,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้ถึงปี 65


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (6ก.ย.2564) ราคาหุ้นบริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER ณ เวลา 15.32น. อยู่ที่ระดับ 0.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.05  บาท หรือ 14.29% โดยทำจุดสูงสุดที่ 0.41 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 0.35 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 90.49 ล้านบาท โดยมูลค่าหุ้นทางบัญชีอยู่ที่ 0.68 บาท

โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงในรอบ 2 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 0.40 บาท เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2564  ลุ้นผลงานครึ่งฟื้นตัวรับคลายมาตรการคุมโควิด หลังยอดป่วยลดลงคาดหนุนธุรกิจฟื้น โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 22.85 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 138.92 ล้านบาท

อนึ่งก่อนหน้านายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ EVER ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “เดอะโพลิแทน” ทำเลย่านสนามบินน้ำ ,โครงการแนวราบ บ้านเดี่ยว แบรนด์ “มายโฮม ซิลเวอร์เลค/ซิลเวอร์เลค พาร์ค” “มายโฮม อเวนิว”  และทาวน์โฮม แบรนด์ “เอเวอร์ ซิตี้” เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทฯยังให้ความสำคัญในการขยายโครงการแนวราบต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งถือเป็นตลาดที่ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง จากกำลังซื้อที่แท้จริง เห็นได้จากยอดขาย ทาวน์โฮมแบรนด์ “เอเวอร์ ซิตี้” และบ้านเดี่ยวแบรนด์  “มายโฮม ซิลเวอร์เลค” ในช่วงที่ผ่านมาที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่

“แม้จะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่บริษัทฯได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือ และออกมาตรการดูแลความปลอดภัยทั้งพนักงาน ผู้รับเหมา และลูกบ้าน เช่นเดียวกับปีก่อน อีกทั้งมีการใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ http://everland.co.th เพื่อกระตุ้นยอดขาย”

สำหรับแผนเปิดขายโครงการแนวราบในปีนี้ ประกอบด้วย ทาวน์โฮม แบรนด์ “เอเวอร์ ซิตี้ โครงการสุขสวัสดิ์ 30 – พุทธบูชา 4 จำนวน 98 ยูนิต มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท และการเปิดขายบ้านเดี่ยวแบรนด์  “มายโฮม ซิลเวอร์เลค” ในโครงการซิลเวอร์เลค พาร์ค เฟส 2 เพิ่มอีกจำนวน 27 ยูนิต มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท จากที่เปิดขายไปในปีก่อน 40 ยูนิต จากทั้งหมด 67 ยูนิต ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 5-9 ล้านบาท

“เชื่อว่าในปี 2564 โครงการแนวราบยังเติบโตได้ดี เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่แท้จริง โดยโครงการที่อยู่อาศัยของเราเน้นความคุ้มค่า ขนาดของโครงการไม่ใหญ่มาก เพื่อให้ปิดการขายได้เร็วขึ้น รวมถึงการจัดโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นโครงการแนวสูง หรือแนวราบ โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากยอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีกว่า 3,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้ถึงปี 2565” นายสวิจักร์ กล่าว

Back to top button