SAPPE วิ่ง 6% โบรกอัพเป้า 43 บ. ชี้กำไร Q2 นิวไฮ โต 29% รับรายได้ส่งออก-บาทอ่อนหนุน

SAPPE บวก 6% โบรกอัพเป้า 43 บ. ชี้กำไร Q2 นิวไฮ โต 29% อานิสงส์รายได้ส่งออกโตแกร่ง และประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงบาทอ่อนค่าหนุน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 ก.ค.65) ราคาหุ้น บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ณ เวลา 12:17 น. อยู่ที่ระดับ 38.25 บาท บวก 2 บาท หรือ 5.52% สูงสุดที่ระดับ 38.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 36.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 78.18 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (4 ก.ค.65) ว่า ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ใน 5 ปีข้างหน้าแตะดับ 1 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 64 ที่ 3.40 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 22% CAGR จะมาจากตลาดส่งออก เพิ่มขึ้น 15%-20% และในประเทศเพิ่มขึ้น 10% ภายหลังสิ่งที่เข้าไปลงทุนขยายตลาดในต่างประเทศราว 98 ประเทศ เริ่มส่งผลบวกผ่านการเติบโตได้ตามแผน ปัจจุบันตลาดส่งออกหลักได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ยุโรป สหรัฐ และล่าสุดได้เจอ Rising Star คือ อินเดีย ที่ได้เข้าไปขายสินค้าตั้งแต่ปี 54 ศึกษาตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค จนปัจจุบันแบรนด์ Mogu Mogu เป็นที่รู้จักมากขึ้น และเติบโตอย่างมีนัยสำคัญใน 2 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าจะเติบโตสูงถึงสามหลักในปีนี้ คาดสัดส่วนรายได้อินเดียจะขยับขึ้นเป็น 6.50% ในปี 68 ด้วยการเติบโตเฉลี่ย 50% CAGR

สำหรับสิ้นปี 64 บริษัทฯ มีอัตราการใช้กำลังการผลิตราว 72% และหากต้องการบรรลุเป้าหมายรายได้ที่ 1 หมื่นล้านบาท จำเป็นต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่ม ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้จะเร่งตัวขึ้นแตะ 5.40 พันล้านบาท ในปี 67 ซึ่งจะใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มกำลังการผลิตปัจจุบัน โดยคาดจะมีการลงทุนครั้งใหญ่ในครึ่งปีหลัง 66-67 ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาขยายในไทย หรืออาจขยายโรงงานแห่งแรกในต่างประเทศ เพื่อรองรับสัดส่วนรายได้ส่งออกที่จะขยับขึ้นเป็น 70% ในปี 68 จาก 65% ในปัจจุบันภายใน 5 ปีนี้มีแผนใช้เงินลงทุน 1 พันล้านบาท จะมาจากกระแสเงินสดในกิจการเป็นหลัก และปัจจุบันไม่มีภาระหนี้เงินกู้ยืม คาดไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งเงินทุนแต่อย่างใด ดังนั้นในช่วง 2 ปีนี้ คาดบริษัทฯ จะได้ผลบวกจาก Economies of Scale สูงสุด

ทั้งนี้คาดกำไรไตรมาส 2/65 ลุ้นทำ New High เพิ่มขึ้น 7.2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 29.10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ส่งออกที่ยังโตแข็งแกร่ง และประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น กอปรกับบาทอ่อนค่าช่วยหักล้างต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้นได้ทั้งหมด และคาดกำไรยังดีต่อเนื่องในไตรมาส 3/65 เพราะเป็น High Season ของธุรกิจ

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 65 ขึ้น 11.50% เป็นโต 39.20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดอัตราการเติบโตของกำไร 66-68 จะโตเฉลี่ย 18% CAGR ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 65 เป็น 43 บาท จาก 38 บาท อิงค่า P/E เดิม 23 เท่า แม้จะเป็น PE ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของตัวเอง แต่ทางฝ่ายวิจัยมองว่าสมควรที่ Valuation จะถูกปลดล็อกขยับมาเทรดเท่ากับกลุ่ม ด้วยผลงานอดีตที่น่าประทับใจกำไรโตได้แม้เผชิญโควิด สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิด ESG, คาดกำไรในอนาคตจะเติบโตสูงกว่ากลุ่มที่คาดโต 13.60% CAGR รวมถึงฐานะการเงินแข็งแกร่งไม่มีหนี้ D/E ต่ำ เพียง 0.29 เท่า และคาดผลตอบแทนเงินปันผล 4.20% สูงกว่ากลุ่มที่ 3.90%

Back to top button