เปิดโผหุ้น “ได้-เสีย” หลังบาทแข็งค่ารอบ 3 เดือน แตะ 35.65 บ./ดอลลาร์

เปิดโผหุ้นได้-เสียประโยชน์บาทแข็งค่าในรอบ 3 เดือน แตะ 35.65 บาท/ดอลลาร์ โบรกชู 4 “สายการบิน-โรงไฟฟ้า-พลังงาน-IT Distributor” รับอานิสงส์เต็ม ขณะกลุ่มเสียประโยชน์ “อิเลกทรอนิกส์-อาหาร-เกษตร”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(16พ.ย.65) ค่าเงินบาทล่าสุด ณ เวลา 9:52 น. เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 35.65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยแข็งค่าในรอบเกือบ 3 เดือน โดยเทียบค่าเงินบาทยืนที่ระดับ 35.48 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 18 ส.ค.65 โดยปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะได้รับผลกระทบกลุ่มหุ้นดังบทวิเคราะห์ระบุไว้ดังนี้

บล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(16 พ.ย.65) ว่า ค่าเงินบาทแตะระดับที่ 35.51 บาท/ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าราว 7.8% จากที่อ่อนค่ามากสุดในช่วงกลางเดือน ต.ค.65 ที่ราว 38.46 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังประธานเฟดได้ส่งสัญญาณว่าอาจเริ่มพิจารณาชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงปัจจัยภายในประเทศไทย ที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว หนุนให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเป็นบวก

โดยแนวโน้มค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่ามากกว่าที่เคยประเมินไว้ หลังจากเงินเฟ้อสหรัฐมีทิศทางที่อ่อนตัวลง และเฟดเริ่มส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยลงในการประชุมหลังจากนี้ สอดคล้องกับเงินทุนไหลเข้าที่มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตรนักลงทุนต่างชาติ กลับเข้ามาซื้อสะสม ตั้งแต่ 1-15 พ.ย. มูลค่า 76,700 ล้านบาท จากต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่182,059 ล้านบาท ทำให้พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลงมาอยู่ที่ 2.73% ปรับตัวลงจาก 3.35% ณ สิ้น ต.ค. เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสะสมมูลค่า 21,362 ล้านบาท จากต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 180,245 ล้านบาท ด้วยทิศทางของเงินลงทุนจากต่างชาติที่กลับเข้ามา จึงทำให้ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่ามากกว่ากรอบที่เคยประเมินไว้ที่ 35.87-39.00 ในช่วงไตรมาส 4/65

สำหรับหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากเงินบาทกลับมาแข็งค่าและมีโอกาส outperform SET ได้มากสุด ได้แก่ AAV, BGRIM โดย AAV แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 3.70 บาท โดย AAV มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายเป็น USD ราว 60% และมีหนี้เป็นดอลลาร์สห USD ราว 1 พันล้าน USD ซึ่งทุกๆ 1 บาท ที่แข็งค่าจะมี FX gain ราว 1 พันล้านบาท ขณะที่ยังได้ผลบวกจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ฟื้นตัวเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้

แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 มีโอกาสพลิกเป็นกำไรได้ครั้งแรกในรอบ 13 ไตรมาส ทั้งนี้ AAVแนะนำซื้อ หลังประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/65 ที่จะขาดทุนมาก แต่จะเป็นจุดต่ำสุด และไตรมาส 4/65จะดีขึ้นและมีโอกาสพลิกเป็น

ด้าน BGRIM แนะนำซื้อราคาเป้าหมา 40 บาท ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า โดยมีหนี้เป็นดอลลาร์สหรัฐราว 350 ล้านเหรียญฯ ซึ่งทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าจะมี Fx gain ราว 350 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/65 คาดผลประกอบการฟื้นตัวเทียบไตรมาสก่อนหน้าจากการรับรู้ผลบวกปรับค่า Ft ขึ้นเต็มไตรมาส

ส่วนหุ้นที่จะเสียประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่าและมีโอกาส underperform SET ได้แก่ SMPC แนะนำถือราคาเป้าหมาย14.50 บาท, MEGAแนะนำซื้อเป้า 67.00 บาท, SUN แนะนำถือราคาเป้าหมาย 4.50 บาท, TU แนะนำซื้อเป้า 24.00 บาท

 ส่วนหุ้นอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า”

1.กลุ่มสายการบิน THAI, AAV, BA มีโครงสร้างต้นทุนเป็นเงินสกุลดอลลาร์ราว 60% ค่าเงินบาทแข็งค่าจะทำให้ต้นทุนลดลง, สำหรับ AAV มีหนี้เป็นดอลลาร์สหรัฐราว 1 พันล้านเหรียญ ทำให้จะมี unrealized FX gain ราว 1 พันล้านบาท จากทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่า

 2.กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้มีการบันทึก unrealized fx gain เข้ามา อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่ได้มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด ทั้งนี้หุ้นที่มี impact จากประเด็นดังกล่าวประกอบด้วย GULF, BGRIM, GPSC, RATCH,GUNKUL

3) กลุ่มพลังงาน เนื่องจากมี Positive net exposure ต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์ต่อสกุลเงินบาท ส่งผลให้อาจจะมีการบันทึก unrealized fxgain สำหรับ PTTGC,TOP, IVL ขณะที่ผลกระทบต่อ PTTEP และ SPRC น่าจะมีจำกัดเพราะมีการใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็น functional currency

4) กลุ่ม IT Distributor ได้แก่ SYNEX, SIS เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าโดยใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินบาทแข็งค่าจะส่งผลดีด้านต้นทุน

สำหรับหุ้นอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะเสียประโยชน์จาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า”

1) กลุ่มอิเลกทรอนิกส์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ต่างประเทศโดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อ KCE กำไรลดลง 6% และ HANA ลดลง 5%

2) กลุ่มอาหารเนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรลดลง SUN ลดลง 8%,TU ลดลง3%, GFPT ลดลง 2%

3) กลุ่มเกษตรเนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรลดลง NER ลดลง 3%, GFPT ลดลง 2%

4) อุตสาหกรรมอื่น ที่ได้ผลกระทบเชิงลบจากค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ได้แก่ SMPC ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าทำให้กำไรลดลง 8-10%, MEGA ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าทำให้กำไรลดลง 8%,EPG ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าท าให้กำไรลดลง 3-4% และ TOG ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าทำให้กำไรลดลง 4-5%

Back to top button