NER บวก 3% โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 5.66 บ. ลุ้นกำไร Q4 ฟื้น รับราคายางพุ่ง

NER บวก 3% ลุ้นกำไรไตรมาส 4/66 ฟื้นตัว รับยอดขายยางเพิ่ม จากราคายางปรับตัวดีขึ้น ประกอบดีมานด์รถยนต์ EV จากจีนเพิ่มขึ้น แย้มแผนขยายกำลังผลิตอีก 3 แสนตัน ปี 67 ฟากโบรกแนะ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.66 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 พ.ย.66) ราคาหุ้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ณ เวลา 10:35 น. อยู่ที่ระดับ 4.74 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 3.04% สูงสุดที่ระดับ 4.74 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.62 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 25.25  ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์วันนี้ (23 พ.ย.66) ว่าคาดการณ์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 ของ NER จะขายยางได้ราว 1.25 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า รวมทั้งปีขายประมาณ 4.95 แสนตัน ใกล้เคียงเป้าหมายที่ 5 แสนตัน โดยราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านั้น มาจากราคายางที่ปรับตัวขึ้นในไตรมาส 3/2566 ที่ผ่านมา ช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นแต่เฉลี่ยสต๊อกเดิมทำให้ต้นทุนเพิ่มน้อยกว่าราคาขาย ซึ่งจะช่วยหนุนกำไรสุทธิปรับตัวขึ้นได้ดีจากไตรมาสก่อนหน้า

โดยในปี 2567 ตั้งเป้าหมายปริมาณขาย 5 แสนตัน เนื่องจากยังไม่มีกำลังผลิตใหม่เพิ่ม แต่คาดการณ์ว่าราคาขายเฉลี่ยจะดีขึ้นกว่าปี 2566 ราว 5% เนื่องจากราคายางน่าจะผ่านจุดต่ำในช่วงปี 2566 ไปแล้ว และ NER มีสร้างโรงงานใหม่ ที่กำลังผลิตเพิ่มเป็น 818,000 ตัน/ปี จากเดิมที่ 515,600 ตัน/ปี ซึ่งคาดการณ์จะเห็นยอดขายในช่วงต้นปี 2568 โดยกำลังผลิตส่วนที่เพิ่มจะทยอยเพิ่มในปี 2568 ที่ 50% และปี 2569 อีก 50%

ขณะที่ปัจจุบันลูกค้าญี่ปุ่นรายใหญ่ได้อนุมัติโรงงานผ่านแล้ว ซึ่งแสดงถึงโรงงานมีระดับมาตรฐาน สามารถรองรับลูกค้ามาตรฐานสูงได้อย่างยุโรปและญี่ปุ่น โดยภาพปี 2567 อาจเห็นลูกค้ารายนี้เป็นยอดขายต่างประเทศสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมี GPM สูงกว่าการขายในประเทศ และจะหาลูกค้าใหม่จากยุโรปและญี่ปุ่นเข้าอนุมัติโรงงานมากขึ้น เพื่อซัพพอร์ตกำลังการผลิตใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ NER ขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ของไทยและของโลกได้

ส่วนภาพเศรษฐกิจในปีหน้าจะมีเลือกตั้งใหญ่ในสหรัฐฯ ปลายปี คาดหวังว่าจะเห็นนโยบายเศรษฐกิจโลกดีขึ้นเพื่อรักษาคะแนนเสียง และอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ในจีนยังเติบโตได้จากรัฐบาลยังมีการสนับสนุนเรื่องภาษี ซึ่งปัจจุบันปริมาณขายรถเติบโตขึ้นทุกภูมิภาค ความต้องการล้อยางในจีนยังเพิ่มขึ้นทั้ง TBR (Truck/Bus and Radial tire) และ PCR (Passenger Car Radial tire)

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท NER ราคาพื้นฐานปี 2567 ที่ 5.66 บาท โดยประเมินราคาหุ้น โดยใช้ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี +0.5S.D. ที่ 6.2 เท่า โดยปัจจุบันราคาหุ้นยังมี upside ค่อนข้างดี

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่า คาดการณ์ปริมาณการซื้อขายในไตรมาส 4/2566 อยู่ราว 1.2 แสนตัน เพิ่มขึ้น 6-7% จากไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงราคาขายยางในไตรมาส 4/2566 จะเพิ่มขึ้น 5-6% จากไตรมาสก่อนหน้าเช่นกัน ประกอบกับความต้องการจากประเทศจีนยังค่อนข้างดีจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV car) และนโยบายต่างๆ ที่ประเทศจีนออกมาเพื่อกระตุ้นการจำหน่ายรถ EV จะเป็นประโยชน์ต่อความต้องการยางที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยังคงเป้าหมายปริมาณขายปี 2566 ที่ 5 แสนตัน และปี 2567 ที่ 5 แสนตัน

โดย NER มีแผนขยายกำลังผลิตอีก 3 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้น 60% ในปี 2567 และคาดการณ์ว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีหน้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแนวโน้มราคาขายปี 2567 จะเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้บริหารตระหนักและมุ่งเน้น ESG มากขึ้น มีการนำกากตะกอนชีวภาพ ไปให้เกษตรกรใช้ แทนปุยเพื่อลดการพึ่งพาสารเคมี และยังมีโครงการอื่นๆ ที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2567  ซึ่งจะช่วยให้เกิดความยั่งยืนของบริษัทกับชุมชนโดยรอบ

สำหรับแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2566 คาดการณ์ว่าจะเติบโต 10% ตามปริมาณขายและราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการสร้างโรงงานแห่งใหม่ โดยผู้บริหารมีความมั่นใจว่าจะสามารถหา order มาเพิ่มได้ โดยที่ผ่านมา NER เป็นหุ้นที่จ่ายปันผลค่อนข้างดี ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนหุ้นปันผล (Dividend Yield) 5-6% โดยในปีนี้ ยังจ่ายปันผลที่ 40% ของกำไร ส่งผลให้ Bloomberg Consensus ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.03 บาท

Back to top button