TKN ปิดบวก 6% มั่นใจรายได้ปี 66 โต 20% โบรกแนะซื้อเป้า 15 บ. อัพไซด์สูง 48%

TKN ปิดบวก 6% มั่นใจรายได้ปี 66 โต 20% พร้อมรุกขยายตลาดต่างประเทศ เล็งปรับเพิ่มราคาขายในบางประเทศ โบรกแนะซื้อเป้า 15 บาท อัพไซด์สูง 48%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(16 ม.ค.67) ราคาหุ้นบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ปิดตลาดที่ระดับ 10.10 บาท บวก 0.55 บาท หรือ 5.76% ราคาสูงสุด 10.20 บาท ราคาต่ำสุด 9.55 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 296.11 ล้านบาท

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TKN แนะนำราคาเป้าหมาย IAA Consensus 15 บาท เป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยก่อน Covid-19 TKN มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 20-25%

โดยก่อนหน้านี้นายจิระพงษ์ สันติภิรมย์กุล รองกรรมการผู้จัดการ TKN เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 จะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก โดยเบื้องต้นประเมินว่ายอดขายจะเติบโตไม่น้อยกว่า 15% ทั้งจากตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ ดังนั้น บริษัทจึงได้มีการปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากการขายเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หลังในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมายอดขายเติบโตอย่างมาก ขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลังยังมีการขยายตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยการเติบโตเกิดจากการที่บริษัทมุ่งเน้นในกลยุทธ์ 3GO ในการบริหารจัดการธุรกิจ ได้แก่ 1.GO FIRM คือการปรับองค์กรให้กระชับ ลดต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่าย (Productivity), 2.GO BOARD คือ การขยานฐานกลุ่มธุรกิจให้กว้างขึ้นและสร้างคุณค่า รวมถึงการยกระดับตราสินค้า (Branding) และ 3.GO GLOBAL คือ การขยายตลาดต่างประเทศให้มีคุณภาพและมีความยั่งยืน (Sustainability) อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะยังคงใช้กลยุทธ์ 3GO ในการดำเนินงาน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นายจิระพงษ์ กล่าวอีกว่า ประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของ TKN มีโมเมนตัมของยอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมุ่งเน้นการทำกิจกรรมทางการตลาดโดยเฉพาะช่องทางออฟไลน์ เพื่อกระตุ้นการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่เพิ่ม ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะมีการนำผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่ และรูปแบบของขนาดห่อใหญ่หลากหลายรสชาติเข้าไปจำหน่ายยัง COSTCO ในรัฐอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น เท็กซัส และมินิโซต้า

ส่วนตลาดอินโดนีเซียและมาเลเซีย คาดว่าแนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์สาหร่ายรสชาติใหม่ ๆ และทำกิจกรรมส่งเสริมการขายเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีความสนใจและอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดในตลาดแถบยุโรปโดยเฉพาะในอังกฤษ และเกาหลีเพิ่มเติม โดยในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาได้มีการจำหน่ายผ่านร้าน COSTCO และได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้มีออเดอร์ส่งออกแล้วกว่า 3-4 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน

นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปี 2566 บริษัทอาจมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์สาหร่ายใหม่ในบางประเทศเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับต้นทุนสาหร่ายใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในช่วงไตรมาส 4/2566 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 15% ขณะที่การทำสัญญาซื้อสาหร่ายใหม่คาดว่าจะเริ่มเจรจาในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2566 โดยจะทำสัญญาและนำวัตถุดิบมาใช้ในเดือน เมษายน 2567 ต่อเนื่องไปจนถึงเดือน มีนาคม 2568

ด้านนายปรมินทร์ จาวลา ผู้อำนวยการสายงานการตลาด TKN เปิดเผยว่า TKN ได้ดึงจุดแข็งด้านคุณประโยชน์ของสาหร่ายพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ด้วยการเปิดตัว “สาหร่ายอบปรุงรส รสเกลือชมพู” ที่เน้นคัดสรรวัตถุดิบสาหร่ายคุณภาพสูงจากเกาหลี ผสมผสานความอร่อยแบบลงตัว โดยใช้เกลือชมพูเกรดพรีเมียมจากเทือกเขาหิมาลัย กลมกล่อมยิ่งขึ้น มาพร้อมกับแร่ธาตุสูง โซเดียมน้อยกว่าเดิม ไม่มีผงชูรส ทานแล้วสุขภาพดี (Healthy) ที่ผู้บริโภคจะสนุกกับการทาน ไม่ว่าจะเป็นการทานแบบขนมทานเล่น หรือจะเลือกทานคู่กับอาหารที่จะลงตัวมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มวางจำหน่ายแล้วที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ทุกสาขาทั่วประเทศ ขนาด 4 กรัม ราคา 20 บาท และขนาด 15 กรัม ราคา 39 บาท

ทั้งนี้ ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคหลายคนหันมาใส่ใจดูแลตนเองและรักสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งการออกกำลังกายหรือเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย โดยต้องการตัวเลือกผลิตภัณฑ์แนวสุขภาพที่เน้นให้คุณประโยชน์มากขึ้น แต่ยังทำให้ผู้บริโภคได้สนุกกับการรับประทานได้ด้วย ซึ่งเป็นเทรนด์การบริโภคยุคใหม่ สอดรับกับผลิตภัณฑ์สาหร่ายอบสไตล์ของ TKN ที่มีจุดเด่นแคลอรี่ต่ำอุดมไปด้วยสารอาหารจากสาหร่ายทะเล ไม่ว่าจะเป็นใยอาหารและแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ

ขณะที่ปัจจุบันสาหร่ายทะเลนั้นถูกจัดเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ด หรือกลุ่มอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้สาหร่ายอบเถ้าแก่น้อย เป็นหนึ่งในทางเลือกของคนรักสุขภาพได้ไม่ยาก จึงเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโต และตอกย้ำว่าแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” เป็นผู้นำตลาดสาหร่ายอันดับ 1 ในทุก ๆ กลุ่ม ทั้งทอด อบ ย่าง

“เราได้พยายามทำเสนอสิ่งดี ๆ ให้กับผู้บริโภค โดยเฟ้นหาวัตถุดิบสุดพรีเมียมและมีคุณภาพ มีประโยชน์มาให้การทานสาหร่ายมีประโยชน์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเถ้าแก่น้อยทานได้ทุกกลุ่ม หลากหลาย ทั้งเป็นขนมทานเล่น หรือการทานกับอาหารจะเข้ากับอาหารได้มากขึ้น เพราะเกลือชมพูจะช่วยเสริมรสชาติอาหารให้นัวยิ่งขึ้น” นายปรมินทร์ กล่าว

Back to top button