ราคาทองคำปิดวานนี้พุ่งกว่า 24 ดอลล์

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (29 เม.ย.) เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ที่ระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ นอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กและข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่สดใส ยังได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 24.10 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิด (29 เม.ย.) ที่ระดับ 1,290.50 ดอลลาร์/ออนซ์ สำหรับตลอดสัปดาห์ ราคาทองเพิ่มขึ้น 4.92% ขณะที่ทั้งเดือนเม.ย. ราคาทองปรับตัวขึ้น 4.44%

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 23.1 เซนต์ หรือ 1.31% ปิดที่ 17.819 ดอลลาร์/ออนซ์, สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 27.7 ดอลลาร์ หรือ 2.64% ปิดที่ 1,078.40 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 3.30 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 627.65 ดอลลาร์/ออนซ์

ทั้งนี้ สัญญาทองคำปรับตัวสูงขึ้นตลอด 5 วันทำการในสัปดาห์นี้ และปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. 2558 ซึ่งในครั้งนั้น ราคาทองปิดที่ 1291.70 ดอลลาร์/ออนซ์ นักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาทองได้แรงหนุนต่อเนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมาตรวัดสกุลเงินดอลลาร์กับตะกร้าสกุลเงินหลัก ร่วงลง 0.7% สู่ระดับ 93.10 ณ เวลา 1.40 น.วันเสาร์ ตามเวลาไทย

โดยปกติแล้ว ทองและดอลลาร์จะเคลื่อนตัวในทิศทางตรงข้ามกัน ซึ่งหมายความว่าหากดอลลาร์ปรับตัวขึ้น สัญญาทองก็จะปรับตัวลง เนื่องจากทอง ซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์ จะมีราคาแพงขึ้นสำหรับนักลงทุน นักวิเคราะห์กล่าวด้วยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวลดลงในวันศุกร์ ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองเช่นกัน

นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แย่กว่าคาดการณ์ยังได้ช่วยดันราคาทองให้พุ่งขึ้นด้วย โดยวานนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 0.1% ในเดือนมี.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.พ.

อย่างไรก็ตาม ราคาทองถูกสกัดไม่ให้พุ่งสูงขึ้นกว่านี้ เนื่องจากรายงานจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเผยให้เห็นว่ารายได้ส่วนบุคคลของชาวสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาด นักวิเคราะห์เชื่อว่า นี่เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวได้ไม่ราบรื่นนัก และเป็นอีกหนึ่งข้อบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะยังคงระมัดระวังและอดทนรอต่อไปในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

Back to top button