DCONทุ่ม1,000ล้านลุยอสังหา-พลังงานทดแทน

DCON จ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี เนื่องจากบริษัทมีฐานะทางการเงิน และสภาพคล่องที่ดีอย่างต่อเนื่อง


“วิทวัส พรกุล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DCON ผู้ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายแผ่นพื้นและเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงภายใต้ระบบบริหารคุณภาพมาตรฐานสากล กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลไม่ตํ่ากว่า 25% ของกำไรสุทธิรวมหลังจากชำระภาษีแล้วในแต่ละปี

ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลให้นำปัจจัยต่างๆ มาพิจารณาประกอบ เช่น ฐานะทางการเงิน สภาพคล่องทางการเงิน โครงการลงทุน และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการบริหารงานของบริษัท โดยตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในทางปฏิบัติบริษัทมีการจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี เนื่องจากบริษัทมีฐานะทางการเงิน และสภาพคล่องที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้จ่ายปันผลประจำปี 2557 เป็นเงินสดและหุ้นปันผลรวมเป็น 0.154 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 316,824,000 บาท หรือคิดเป็น 99.41% ของกำไรสุทธิบริษัท โดยแบ่งเป็นจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท และจ่ายปันผลเป็นหุ้นปันผลในอัตรา 25 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ซึ่งคิดเป็นอัตราจ่ายปันผลหุ้นละ 0.004 บาท

โดยกำหนดประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 เม.ย.58 และกำหนดขึ้นเครื่องหมายไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 24 มี.ค.58 และจ่ายปันผลวันที่ 8 พ.ค.58 ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในปี 2557 บริษัทมีกำไรสุทธิ 328.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.63% จากปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลา 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2554-2556) บริษัทมีการจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2554 บริษัทได้จ่ายปันผล 0.25 บาทต่อหุ้น, ในปี 2555 บริษัทได้จ่ายปันผล 0.43 บาทต่อหุ้น และในปี 2556 บริษัทจ่ายปันผล 1.04 บาทต่อหุ้น

 

สำหรับงบลงทุนในปี 2558 บริษัทตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของบริษัทตั้งแต่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มา โดยจะแบ่งใช้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 600 ล้านบาท ใช้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อก่อสร้างโรงงานผนังคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป (Precast) ประมาณ 200 ล้านบาท และธุรกิจพลังงานทดแทนประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดที่ 144.53 ล้านบาท อีกทั้ง การกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ปัจจุบันอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ต่ำกว่า 0.5 เท่า

โดยบริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาพลังงานทดแทน ด้านโรงไฟฟ้าชีวมวล (biomass) และโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส เบื้องต้นบริษัทได้ตั้งงบลงทุนจำนวน 200 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทให้ที่ปรึกษาทางการเงินยื่นแบบแสดงราคาว่าจะซื้อหุ้นให้กับบริษัทดังกล่าวพิจารณาแล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจจะเข้าลงทุนในโครงการดังกล่าว แบบร่วมทุนพัฒนาโรงงานใหม่แทนการเข้าซื้อหุ้นบริษัทแม่

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการร่วมทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตผนังส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป (Precast) โดยตั้งงบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะเข้าไปถือหุ้นในโครงการร่วมทุนดังกล่าวจำนวน 60% คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้

 

ส่วนภาพรวมแผนการดำเนินงานในปี 2558 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1,300-1,500 ล้านบาท ลดลงจากปี 2557ที่มีรายได้รวม 1,879.54 ล้านบาท และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ประมาณ 200 ล้านบาท ลดลงประมาณ 30% หรือใกล้เคียงกับปี 2557 เนื่องจากประเมินว่าภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลง โดยเฉพาะในบริเวณที่ไม่ติดต่อหรือใกล้เคียงกับแนวรถไฟฟ้า แต่หากโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเกิดขึ้นได้ อาจจะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กับเอกชนลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นตัวขึ้นส่งผลไปยังวัสดุก่อสร้างให้ฟื้นตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

 

ประธานกรรมการบริหาร DCON กล่าวอีกว่า ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 40% และธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้างประมาณ 60% อย่างไรก็ตามในปี 2558 บริษัทไม่เน้นการลงทุนเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างโดยตรง จากเดิมบริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่ม และย้ายโรงงานบางแห่ง เพื่อลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายในด้านการขนส่ง ซึ่งบริษัทได้เลื่อนแผนดังกล่าวไปลงในในปี 2562 เนื่องจากบริษัทมองว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว

ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานจำนวน 5 แห่ง ประกอบด้วย โรงงานลพบุรี มีกำลังการผลิต แผ่นพื้น 10,465 ตารางเมตรต่อวัน มีกำลังการผลิตเสาเข็ม 9,000 ตารางเมตรต่อวัน และมีกำลังการผลิตรั้ว 534 ตารางเมตรต่อวัน, โรงงานสุราษฏร์, โรงงานมหาสารคาม, โรงงานระยอง และโรงงาน ภายใต้บริษัท ร่มโพธิ์ โปรดักส์ จำกัด (ร่มโพธิ์) เป็นบริษัทย่อยของ DCON มีกำลังการผลิตแผ่นพื้น 1,500 ตารางเมตรต่อวัน

 

ขณะที่ในปี 2558 บริษัทจะเน้นขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมีแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 1,500 ล้านบาท จำนวน 1 โครงการ เป็นอาคารสูง 37 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ตั้งอยู่บริเวณแนวโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงระหว่างสถานีไทรม้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในปลายปี 2558 และจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2561 และเมื่อโครงการดังกล่าวมียอดขายแล้วจำนวน 25% บริษัทจะจัดทำแผน และเตรียมเปิดตัวโครงการที่ 2 เพิ่ม โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท

Back to top button