สังคมข่าวหุ้น

* เริ่มกันด้วยหุ้นแรกวันนี้เลือก MONO ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้เคยแนะนำให้ทางนักลงทุนหาจังหวะทยอยเก็บมาต่อเนื่องแล้ว โดยประเด็นสำคัญที่อยากฝากให้นักลงทุนได้พิจารณามาจากกรณีรายงานตัวเลขเรตติ้ง MONO ที่ประกาศออกมาล่าสุดยังคงรักษาฐานเบอร์ 3 พร้อมกับบีบช่องว่างที่เคยตามกลุ่มหัวแถวให้แคบลงเรื่อยๆ


นิวส์เวฟ

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,838.96 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 7.18 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 6 หมื่นล้านบาท

* เริ่มกันด้วยหุ้นแรกวันนี้เลือก MONO ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้เคยแนะนำให้ทางนักลงทุนหาจังหวะทยอยเก็บมาต่อเนื่องแล้ว โดยประเด็นสำคัญที่อยากฝากให้นักลงทุนได้พิจารณามาจากกรณีรายงานตัวเลขเรตติ้ง MONO ที่ประกาศออกมาล่าสุดยังคงรักษาฐานเบอร์ 3 พร้อมกับบีบช่องว่างที่เคยตามกลุ่มหัวแถวให้แคบลงเรื่อยๆ

* สัปดาห์ก่อน MONO เปิดแถลงข่าวใหญ่และประกาศว่า ขณะนี้ตั้งเป้าหมายทำเรตติ้งช่องขึ้นเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มทีวีดิจิทัล ซึ่งนั่นหมายความว่า MONO ต้องการแซงหน้าขึ้นแทนยักษ์ใหญ่ช่อง 3 ของ BEC ที่ครองตำแหน่งนี้มายาวนาน หลายคนที่ได้ยินเลยพากันมองว่า มันเร็วเกินไปหรือเปล่า แล้วจะสามารถทำได้จริงหรือ จนบางคนพูดเปรียบเลยว่าเหมือนเป็น “ภารกิจที่ไม่มีทางสำเร็จ”

* แต่ของแบบนี้มันก็ไม่แน่หรอก เพราะถ้าว่ากันไปตามความจริงอิงฐานตัวเลขเรตติ้ง เห็นได้ชัดเจนว่า สิ่งที่ MONO ตั้งเป้าหมายไว้ เริ่มเห็นแสงสว่างมากขึ้นเต็มที สะท้อนให้เห็นได้จากงวดวันที่ 15-21 ม.ค. ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ล่าสุด MONO อยู่ในอันดับ 3 ของกลุ่มด้วยเรตติ้งระดับ 0.857 ส่วนช่อง 3 HD ของ BEC มีเรตติ้งอยู่ที่ 1.096  จึงเท่ากับเหลือช่องว่างห่างเพียงแค่ 0.2 กว่าๆ ย้ำอีกครั้ง ห่างกันเพียงแค่ 0.2 จึงพูดได้เต็มปากแล้วว่า ขณะนี้ MONO กำลังหายใจรดต้นคอช่อง 3 เต็มที แล้วถ้าหากช่อง 3 ยังไม่สามารถดึงเรตติ้งกลับคืนได้ภายในเร็ววัน โอกาสที่ MONO จะบีบช่องว่างให้แคบลงกว่านี้คงไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อมต่อไป

* คำถามต่อมา แล้วจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในเชิงพื้นฐานและราคาหุ้น MONO เรามองเห็นอะไรได้บ้าง เอาในเชิงพื้นฐานก่อนแล้วกัน ทันทีที่ MONO ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 จะทำให้อำนาจดึงดูดเม็ดเงินโฆษณาเข้ามากขึ้นแบบมหาศาลเมื่อเทียบอดีต ที่สำคัญค่าโฆษณายังค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยถ้าอิงตามที่บริษัทเปิดเผย ฐานราคาโฆษณาเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ระดับ 40,000 บาทต่อนาที ส่วนราคาโฆษณาไพร์มไทม์เฉลี่ยอยู่ที่ 1 แสนบาทต่อนาที ซึ่งยังต่ำกว่าคู่แข่งมาก ทั้งที่ฐานเรตติ้งปัจจุบันไม่ได้แตกต่างเหมือนสมัยก่อนเลย จึงมีโอกาสสูงที่เม็ดเงินโฆษณาจะไหลเข้ามาที่บริษัทเพิ่มขึ้นและช่วยหนุนให้งบเติบโตสูง

* ส่วนเชิงราคาหุ้น MONO จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่เรตติ้งบริษัทดีขึ้นและงบหวนพลิกกำไร ราคาหุ้นได้ทยอยไต่ระดับจากฐานราคา 3.50 บาท จนสูงทะลุ 4 บาท และปัจจุบันวิ่งขึ้นมาซื้อขายใกล้ระดับ 5 บาท ไปแล้ว ดังนั้น เมื่อเทียบกับปัจจัยบวกที่มีตุนอยู่ในมือ โอกาสที่จะเห็นหุ้นวิ่งสอดคล้องไปกับพื้นฐานไปต่อมีอยู่สูงมากเช่นกัน

* ดังนั้น จึงขอให้จับตาดูความเคลื่อนไหว MONO นับจากนี้กันด้วย เพราะหลายครั้งภารกิจที่มองว่าไม่มีทางสำเร็จ ก็มีหลายคนฝ่าฟันจนสำเร็จให้เห็นมาแล้วมากมายเช่นกัน ไม่ต้องมองหาตัวอย่างอะไรไกล เอากรณีของ MONO นี่แหละ เพราะถ้าย้อนกลับไปสมัยช่วงเริ่มต้นยุคทีวีดิจิทัลใหม่ๆ ถ้าบอก MONO จะมีเรตติ้งขึ้นมาติดท็อป 3 ก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่วันนี้ MONO พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถทำได้จริงและดีเกินกว่าที่หลายคนประเมินไว้

* ต่อกันด้วยเรื่องร้อนหุ้นนิคมฯ คือ WHA-AMATA ที่กำลังถอยลงหนัก โดยต้นเหตุเกิดขึ้นมาจากช่วงที่ผ่านมามีรายงานข่าวทางกลุ่มซีพีจับมือกับพันธมิตรจีนเพื่อเดินหน้าพัฒนานิคมฯ ที่ระยองขานรับ EEC โดยเล็งเจาะกลุ่มเป้าหมายชัดเจนคือนักลงทุนจากจีน งานนี้ เลยทำให้หลายคนเกิดความตื่นตระหนก เพราะหวั่นเกรงว่า เมื่อขาใหญ่อย่างกลุ่มซีพีเดินหน้าลงชิงตลาด จะสร้างผลกระทบต่อทั้ง WHA และ AMATA มหาศาล เมื่อบวกกับราคาหุ้นทั้ง 2 บริษัท ในช่วงที่ผ่านมาเคยเพิ่มขึ้นไปมากตอบรับกรณี EEC ก็ยิ่งเลยเกิดแรงขายลดความเสี่ยงมหาศาลสาดออกมาจนฉุดราคาหุ้นทั้ง 2 บริษัทดิ่งลงหนักตามที่เห็นในกระดานนั่นแหละ

* แต่ถ้าลองเจาะลึกเข้าไปดูจริงๆ แล้ว การที่กลุ่มซีพีเข้ามาชิงตลาดครั้งนี้ ไม่น่าจะสร้างผลกระทบแรงต่อ WHA และ AMATA สูงอย่างที่กังวลไว้นัก เพราะแม้กลุ่มซีพีจะมีทีเด็ดในแง่ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนจีนสูงกว่าใคร แต่ในฝั่งของ WHA และ AMATA เอง ก็มีจุดแข็งเฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่แพ้กัน

* เริ่มจากฝั่ง WHA ถ้าว่ากันตามจริงแทบไม่กระทบ เนื่องจากพอร์ตลูกค้าใหญ่สุด คือ กลุ่มญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 40% ขณะที่จีนมีเพียง 3% ด้าน AMATA ปัจจุบันมีฐานนักลงทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในมืออยู่แล้วเช่นกันและยังมีแผนออกโปรโมชั่นใหม่ๆ มาจูงใจลูกค้ามากขึ้น จึงขอให้ตั้งสติ และอย่าเแพนิคเกินไป ไม่งั้นกลายเป็นขายหมูแบบไม่รู้ตัว

* สำหรับราคาหุ้นที่ลดลงแรงช่วงนี้ยังถือเป็นโอกาสดีที่จะใช้จังหวะเข้าเก็บหุ้นทั้งคู่ ถ้าชอบสไตล์เพลเซพ มีประเด็นข่าวดีรายงานต่อเนื่อง เล็งไปทางหุ้น WHA ได้เลย แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้และมีลุ้นได้เห็นราคาดีดรีบาวน์แรงๆ (หลังตลาดเลิกแพนิค) ให้โฟกัสไปที่ AMATA เลย ที่สำคัญทั้ง 2 บริษัทยังถือเป็นท็อปพิคกลุ่มนิคมฯ ไม่มีเปลี่ยน เพราะได้ผลบวกชัดเจนจากนโยบาย EEC มากที่สุดแน่นอน

* *หุ้นร้อนประจำวันที่ 24 มกราคม 2561 ที่มีราคาและมูลค่าซื้อขายปรับขึ้นแรงและอยู่ระหว่าง (Trading Alert List) และขยายช่วงดำเนินการ คือ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ทำให้เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 ต้องใช้เกณฑ์ Cash Balance (ซื้อขายด้วยเงินสดทั้งจำนวน) มีผลตั้งแต่  25 ม.ค. -14 ก.พ. 2561

Back to top button