สังคมข่าวหุ้น

*หากย้อนหลังดูสถิติในเดือนตุลาคมนี้ พบว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมาฟันด์โฟลว์มักจะขายสุทธิ โอกาสเป็นไปได้ประมาณ 50% แต่หุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนถึง 2.88% ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างทรัมป์ กับ จีน ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ จนกระทบไปถึงตัวเลขภาคการผลิตของฮ่องกงชะลอตัวลง และยังมองไปถึงตลาดทั้งเอเชีย ทำให้วานนี้มีการเทขายหุ้นในภูมิภาคอย่างหนัก


เกียรติก้อง ว่องไวยากร

*ตลาดหุ้นไทยยังผันผวนต่อ

*หากย้อนหลังดูสถิติในเดือนตุลาคมนี้ พบว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมาฟันด์โฟลว์มักจะขายสุทธิ โอกาสเป็นไปได้ประมาณ 50% แต่หุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนถึง 2.88% ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผลกระทบจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างทรัมป์ กับ จีน ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ จนกระทบไปถึงตัวเลขภาคการผลิตของฮ่องกงชะลอตัวลง และยังมองไปถึงตลาดทั้งเอเชีย ทำให้วานนี้มีการเทขายหุ้นในภูมิภาคอย่างหนัก

*วานนี้เฮีย ชูชาติ เพ็ชรอำไพ ผู้บริหารของ MTC เปิดบ้านรับนักวิเคราะห์ แจงประเด็นผลกระทบจากเกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อจำนำทะเบียนรถของแบงก์ชาติ ได้ครบถ้วนกระบวนความ ไร้ข้อสงสัย ทั้งเรื่องของดอกเบี้ย และใบอนุญาตที่อยู่ในกรอบกำกับดูแลอยู่แล้ว ดังนั้นธุรกิจจึงดำเนินการต่อได้แบบไม่สะดุด  งานนี้มีลุ้นโบรกฯ กลับไปทำการบ้านปรับเพิ่มเป้ารายได้และกำไรของบริษัทใหม่ได้ไม่ยาก ราคาตอนนี้ก็ยังมีลุ้นไปต่อ บางรายให้เป้าหมายสูงสุดไว้ที่ 56 บาท

*BLA ภายใต้การบริหารของ ม.ล.จิรเศรษฐ ศุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุงเทพประกันชีวิตคนใหม่  วอลุ่มเข้าทะลัก ราคาพุ่งกระฉูด หลังจากเปิดแผนกลยุทธ์ปรับเปลี่ยนสัดส่วนช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตภายในปี 64 เพิ่มสัดส่วนช่องทางการขายผ่านตัวแทนเป็น 40% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% และเพิ่มช่องทางการขายผ่านช่องทางอื่น ๆ เป็น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 8% โดยเน้นช่องทางออนไลน์มากขึ้น หลังจากบริษัทถือเป็นรายแรกที่เริ่มรุกการขายประกันชีวิตผ่านช่องทางออนไลน์ ส่วนไตรมาส 4 จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น มีลุ้นกำไรดีกว่าทุกไตรมาสที่ผ่านมา โบรกฯ ให้แนวต้าน 36.50 บาท

*หุ้นกลุ่มแบงก์ยังแกว่งลง แม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะมองว่าไตรมาส 3 ผลงานจะออกมาดี โดยเฉพาะ BBL ของเฮียโทนี่ และ KBANK ของเสี่ยปั้น ถือเป็นโอกาสทยอยเก็บสะสม เพราะใกล้จะประกาศงบแล้ว การเลื่อนประกาศใช้เกณฑ์ IFRS 9 ก็ถือว่าเป็นปัจจัยบวก เนื่องจากเดิมจะใช้ในปี 62 แต่เลื่อนไปปี 63 ทำให้แบงก์สามารถทยอยตั้งสำรองได้ ดังนั้นรายได้และกำไรปีนี้จึงคาดว่าจะออกมาดีกว่าคาด

*กลุ่มเซ็นทรัลของตระกูลจิราธิวัฒน์ ยังมีหวัง จะได้เป็นตัวแทนคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนักท่องเที่ยวในเมือง แต่ต้องรอให้พ้น 6 เดือนนี้ไปก่อน เพราะอยู่ระหว่างการทดลอง หากกระทรวงการคลังไฟเขียวให้ขยายเวลาต่อได้ กลุ่มเซ็นทรัลก็เข้ามายื่นขออนุญาตเปิดให้บริการคืนแวตได้ทันที นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเดอะมอลล์ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการนี้ด้วย

*TRC  ของภาษิต ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ราคาพุ่งกระฉูด หลังมีข่าวว่าจะได้งานก่อสร้างคลังสินค้าอัจฉริยะของ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือ PTTOR  ในกลุ่มบมจ.ปตท. มูลค่า 500-600 ล้านบาท และยังมีลุ้นงานก่อสร้างตามโครงการ Clean Fuel Project ของบมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP มูลค่า 2 พันล้านบาทอีก ราคาหุ้นก็ดูคึกคักขึ้นมาทันที จากที่เคยไปอยู่บริเวณเหนือ 2 บาท ตอนนี้ต่ำกว่า 1 บาท หากจะเก็งกำไรก็ถือว่าความเสี่ยงต่ำแล้ว โอกาสปรับตัวขึ้นมีสูง

*แม้ว่าราคาหุ้น AOT  ของเสี่ยนิตินัย จะได้รับผลกระทบจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง แต่ก็ยังเป็นองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดในอาเซียนถึง 432,841 ล้านบาท ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประกาศผลงานวิจัยและมอบรางวัลมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด ASEAN’s Top Corporate Brands 2018 ให้แก่สุดยอดแบรนด์องค์กรที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของแต่ละประเทศในอาเซียนเป็นครั้งแรก จังหวะนี้ถือเป็นโอกาสสะสมหุ้น AOT ก่อนจะพลิกกลับเป็นขาขึ้น

*เมย์แบงก์แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง 2 ตำแหน่ง มีผล 1 ต.ค.ที่ผ่านมา โดย “เอมี่ มอริส” รับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง แทน “ดาโต๊ะจอห์น ชอง อิง ชวน” ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้าน Community Financial Services ของกลุ่มธนาคารเมย์แบงก์ เอมี่จะดูแลรับผิดชอบงานด้านธุรกิจหลักทรัพย์ วาณิชธนกิจและตราสารอนุพันธ์ ในกลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ทุกสาขา ในขณะที่ “ฟาดีล โมฮาเหม็ด” ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Maybank Investment Bank Berhad (Maybank IB) ของมาเลเซีย

Back to top button