EPG ความหวังกำไรดีขึ้น!

EPG มีการปรับตัวขึ้นรอบใหม่อย่างชัดเจน เพราะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รวม 4 วันของราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นบวกไปแล้วกว่า 10%


คุณค่าบริษัท

หากดูราคาหุ้นบนกระดาน หุ้นบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG พบว่า มีการปรับตัวขึ้นรอบใหม่อย่างชัดเจน เพราะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รวม 4 วัน (3 – 6 มิ.ย.) ของราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นบวกไปแล้วกว่า 10%

เชื่อว่าด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเป็นการเข้าเก็งกำไรรอบใหม่ อาจเป็นประเด็นว่าด้วยแนวโน้มกำไรของ EPG จะทยอยดีขึ้นจากต้นทุนเม็ดพลาสติกที่ถูกลงได้เริ่มใช้ในการผลิตในไตรมาส 1/2563 (เม.ย.-พ.ค.) วัตถุดิบยังมีแนวโน้มลดลงอีก และบาทแข็งเป็นบวกต่อการนำเข้า ขณะที่ธุรกิจ EPP หันมาเน้นตลาด Food packaging ทำให้มาร์จิ้นไม่ถูกกดเหมือนก่อนและมีคำสั่งซื้อเข้ามาเรื่อย ๆ

ขณะที่ทาง EPG ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2563 (เม.ย. 2562-มี.ค. 2563) เติบโต 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มเป็น 28-30% จากปีก่อนที่ 27.3% โดยจะเป็นการเติบโตจากทั้ง 3 ธุรกิจ ได้แก่

  • Aeroflex (ฉนวนกันความร้อนและเย็น) ตั้งเป้ารายได้โต 7-10% และอัตรากำไรขั้นต้น 42-43% เพิ่มจากปีก่อนที่ 41.5% โดยยอดขายในตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ จะยังเติบโตดีต่อเนื่อง และได้ผลบวกเต็มปีจากการขยายกำลังการผลิต และญี่ปุ่นจะได้ผลบวกจากภาคก่อสร้างรองรับโอลิมปิก 2563 ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่นจะเป็นสินค้าในเกรด Premium ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงด้วย ส่วนในประเทศจะมีการขยายกำลังการผลิต Aero-roof (ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา) ที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  • Aeroklas (ชิ้นส่วนรถยนต์) ตั้งเป้ารายได้โต 10-12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 26% จากปีก่อนที่ทำได้ 25% โดยจะมีการรับรู้รายได้จากคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงมีการออกสินค้าใหม่ Roller lid (ฝาปิดกระบะ) อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า TJM จะยังมีผลขาดทุนต่อเนื่องจากปีก่อนที่ขาดทุนราว 150 ล้านบาท
  • EPP (บรรจุภัณฑ์) ตั้งเป้ารายได้โต 10-12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้น 18-20% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 15.4% โดยจะมีการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้น รวมถึงสินค้าในกลุ่ม mass จะได้รับความนิยมมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากปีก่อนที่ 55% และตั้งเป้าหมาย ณ สิ้นปี จะเพิ่มขึ้นเป็น 70%

นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ บล.บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มีการคาดกำไรสุทธิปี 2563 (เม.ย. 2562-มี.ค. 2563) ที่ 1.05 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยประเมินรายได้เติบโต 9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 27.5% ต่ำกว่าที่ EPG ประเมินเล็กน้อย

ทั้งนี้ คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 (เม.ย.-มิ.ย. 2563) เบื้องต้นมีกำไร 220-250 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน จากการฟื้นตัวของธุรกิจ EPP ที่ได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง หลังใช้วัตถุดิบต้นทุนสูงไปหมดแล้ว ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น และ Aeroflex จะดีขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล นอกจากนั้นในไตรมาสก่อนยังมีค่าใช้จ่ายสูงเป็นพิเศษจากการบันทึกค่าใช้จ่าย employee benefit อย่างไรก็ตาม กำไรจะยังคงลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจากฐานสูงในปีก่อน

ถึงอย่างไรประเมินว่าผลการดำเนินงานจะเริ่มกลับมาเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนได้ในไตรมาส 2/2563 และไตรมาส 3/2563

ดังนั้น ยังคงแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 6 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท วิทูรปกรณ์ โฮลดิ้ง จำกัด 1,679,999,800 หุ้น 60%
  2. นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ 70,400,100 หุ้น 2.51%
  3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 60,768,160 หุ้น 2.17%
  4. นายชำนาญ วิทูรปกรณ์ 48,800,000 หุ้น 1.74%
  5. นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ 42,600,000 หุ้น 1.52%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายวัชรา ตันตริยานนท์ ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ
  2. นาย ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร, รองประธานกรรมการ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
  3. นายธีระวัฒน์ วิทูรปกรณ์ กรรมการ
  4. นายชำนาญ วิทูรปกรณ์ กรรมการ
  5. นาย เฉลียว วิทูรปกรณ์ กรรมการ

Back to top button