สิ้นปี 1,500 จุด?

มีคำถามยอดฮิตในช่วงนี้


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

มีคำถามยอดฮิตในช่วงนี้

นั่นคือ สิ้นปีนี้ ดัชนีจะปิดเหนือระดับ 1,500 จุดหรือไม่

หากดูจากบทวิเคราะห์ และพูดคุยกับนักวิเคราะห์มาล่าสุดนั้น ส่วนใหญ่บอกว่า “มีโอกาส” แม้จะรู้สึกว่าหากดัชนีขึ้นมาอยู่ประมาณนี้ ตลาดหุ้นไทยอาจจะ “แพงเกินไป” ก็เหอะ

ปัจจัยที่สนับสนุน และคาดกันว่าดัชนีจะวิ่งทะลุฟ้ามายืนเหนือ 1,500 จุด

มาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ หรือฟันด์โฟลว์

และแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนต่าง ๆ

ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง เศรษฐกิจยุโรป การไม่มีมาตรการ QE ออกมาเพิ่ม

ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เม็ดเงินจะวิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ตลาดหุ้นทางเอเชีย และรวมถึงตลาดหุ้นของประเทศไทยด้วย

เงินจากฟันด์โฟลว์ที่ทะลักเข้ามานับจากต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น

เข้ามาซื้อทั้งตราสารหนี้ และตราสารทุน หรือตลาดหุ้น

ทว่า มีการประเมินกันว่า เงินที่เข้ามายังตลาดตราสารหนี้ อาจจะมีการโยกเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น

คำถามต่อมาคือว่า แล้วตลาดหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ หรือน่าสนใจที่ทำให้ต่างชาติและกองทุนทยอยสะสมหุ้นขนาดนั้นเลยเหรอ

วิสัชนา คำตอบ คือ ส่วนใหญ่ก็ยังมองเชิงบวก

หรืออีกกรณีหนึ่งคือว่า จากปัจจัยหลาย ๆ ข้างต้นอย่างที่ทำให้ต้องโยกเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้น

ในเบื้องต้น “ซื้อไว้ก่อน”

ทยอยสะสมหุ้นไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ซื้อแบบมั่วซั่วนะ

แล้วปี 2564 มาว่ากันอีกทีว่า สถานการณ์ที่คาดว่าจะดีขึ้นนั้น มันดีขึ้นจริง ๆ ตามช่วงเวลาที่คาดกันไว้หรือไม่

อย่างที่รับรู้ว่าเกี่ยวกับการเข้ามาเก็บหุ้นของต่างชาติ และกองทุน

เค้าจะซื้อในช่วงที่หุ้นตัวนั้น ๆ ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หรือกำลังถึงจุดต่ำสุด และถูกมองว่า กำลังพลิกฟื้นกลับขึ้นมา ซึ่งอาจจะเป็นอีก 1-2 ปีข้างหน้าก็ได้

คือ ซื้อของถูกเก็บไว้ก่อน ดีกว่าปล่อยให้เงินสดมาอยู่บนหน้าตักเยอะ ๆ โดยไม่เกิดประโยชน์อะไร

หากเศรษฐกิจพลิกฟื้นขึ้นมาตามคาด ผลประกอบการของหุ้นที่เข้าไปเก็บไว้ดีดกลับขึ้นมา

นั่นก็กำไรเห็น ๆ ล่ะ

แต่หากเศรษฐกิจพลิกฟื้นช้ากว่าที่คาด หรือหุ้นนั้น ๆ มีกำไรดีดกลับช้ากว่าประเมิน

ก็อาจจะไม่ได้เสียหายอะไรมาก เพราะต้นทุนที่เข้ามาซื้อก่อนหน้า “ค่อนข้างถูก”

มีประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติม

แล้วหุ้นกลุ่มไหน ตัวไหนที่ต่างชาติกลับกองทุนค่อย ๆ เข้ามาไล่เก็บ หรือมีการเล่นชักเย่อกับรายย่อยไปเรื่อย

คำตอบอยู่ที่กลุ่มพลังงาน และธนาคาร รวมถึงอสังหาริมทรัพย์

ทว่า หลัก ๆ จะโฟกัสไปยังกลุ่มพลังงาน และธนาคารมากกว่า

พลังงานที่ว่านี้ คือหุ้นในกลุ่ม เช่น โรงกลั่นน้ำมัน ทั้ง TOP IRPC BCP SPRC หรือลองเข้าไปดูกราฟของหุ้นที่ว่านี่สิ แล้วจะพบว่า นับจากวันที่ 10 พ.ย. 63 วิ่งขึ้นมาโดยตลอด แทบจะตั้งชันเป็นหน้าผา

ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีก็เช่นกัน ทั้ง IVL PTTGC และ SCC กราฟพุ่งแทบจะทะลุจอด้านบนกันเลยล่ะ

ส่วนกลุ่มธนาคาร เข้ามาไล่เก็บแทบจะทุกตัว ทั้งแบงก์ใหญ่ กลางเล็ก BBL KBANK SCB TMB และ TISCO ที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสูง ราคาจะกลับมาที่ 100.00 บาทแล้ว

แม้ว่าหุ้นต่าง ๆ เหล่านี้ จะถูกขายทำกำไรออกมาเป็นช่วง ๆ

แต่เป็นการขายทำกำไรระยะสั้น แต่ในระยะปานกลางถึงยาว ทั้งต่างชาติและกองทุนยังทยอยสะสมเข้าพอร์ตอยู่ และอาจจะถือยาวไปจนถึงมีการปลดล็อก QE โน่นเลย

นอกจากหุ้นใน 3 กลุ่มที่ว่านี้

ยังมีหุ้นที่อยู่นอกเหนือ SET50 ที่กำลังถูกทยอยซื้อเช่นกันจากฟันด์โฟลว์

และทำให้คาดว่า ดัชนีสิ้นปีมีโอกาสขึ้นไปยืนเหนือ 1,500 จุดได้

Back to top button