P2P lending โอกาส ‘ผู้กู้-ผู้ปล่อยกู้’

การออกประกาศกำหนดและหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการประกอบธุรกิจและเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกรรม “สินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล (Peer-to-Peer (P2P) lending)” ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทำให้เพิ่มโอกาสและทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ พร้อมเพิ่มโอกาสนักลงทุนด้านการเงินมากขึ้น


เมกะเทรนด์ : สุภชัย ปกป้อง

การออกประกาศกำหนดและหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการประกอบธุรกิจและเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกรรม “สินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคล (Peer-to-Peer (P2P) lending)” ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทำให้เพิ่มโอกาสและทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ พร้อมเพิ่มโอกาสนักลงทุนด้านการเงินมากขึ้น

ธุรกรรม P2P lending เป็นการกู้ยืมระหว่างบุคคลต่อบุคคล เป็นการให้สินเชื่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยระบบจะจับคู่ผู้ขอสินเชื่อและนักลงทุนซึ่งเป็นบุคคลทั่วไป แตกต่างจากการให้สินเชื่อแบบดั้งเดิมที่แหล่งทุนนั้นมาจากธนาคาร ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากประเทศฝั่งตะวันตก เช่น สหรัฐฯ แคนาดา อังกฤษ ส่วนในเอเชียอย่างเช่น จีน สิงคโปร์ หรืออินโดนีเซีย ถือว่าได้รับความนิยมสูงเช่นกัน

รูปแบบ P2P lending มี 6 ขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การยื่นใบคำขอกู้ยืมเงิน ตอบรับคำขอ ตรวจสอบเครดิต พิจารณาอนุมัติ ส่งมอบเงินและบริหารจัดการเงินกู้ โดยฟินเทค สตาร์ทอัพ จะสร้างอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์ม เช่น แอปพลิเคชันและ เว็บไซต์เพื่อเชื่อมระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ โดยทั้ง 2 ฝ่ายต้องลงทะเบียนเพื่อแสดงตัวตน บนแพลตฟอร์มเสียก่อน สำหรับผู้กู้ต้องกรอกรายละเอียดจำนวนเงินที่ต้องการกู้ รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ เช่น วัตถุประสงค์การใช้เงินและระยะเวลาการกู้ยืมเงิน

หลังจากนั้นระบบจะทำการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ เครดิตของผู้กู้ และความสามารถการชำระหนี้จากข้อมูลที่ให้มาตอนลงทะเบียน กระบวนการนี้จะใช้เวลาสั้นกว่าธนาคาร ในยุโรปใช้เวลาการสืบและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวของผู้กู้เพียง 3-4 ชั่วโมง ก่อนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดให้ผู้ปล่อยกู้พิจารณาต่อไป

สรุปแล้วกระบวนการพิจารณาคำขอและอนุมัติสินเชื่อใช้เวลาไม่เกิน 5 วัน ต่างจากธนาคารพาณิชย์ ต้องใช้เวลามากกว่านั้น ส่วนขั้นตอนการทำสัญญาและโอนเงินจากผู้ให้กู้ไปยังผู้กู้ รวมถึงการทำสัญญาและติดตามการชำระหนี้ระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย อาจใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาช่วยอีกทางหนึ่ง

สำหรับ “ผู้ขอกู้” เป็นบุคคลธรรมดา ปล่อยได้ทั้งเพื่อ “อุปโภคบริโภค” ไม่เกิน 1.5-5 เท่าของรายได้ และ “เพื่อประกอบธุรกิจ” ไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วน “ผู้ปล่อยกู้” เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล โดย “ผู้ลงทุนรายย่อย” ไม่เกิน 5 แสนบาทต่อปี ขณะที่ “ผู้ลงทุนสถาบัน” ไม่จำกัดจำนวน

มีการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต่อปี (ดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระคืน) และค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้แพลดฟอร์ม ที่แล้วแต่จะมีการกำหนด

อย่างไรก็ดีการทำธุรกรรม P2P lending มีความเสี่ยงหลายด้าน อาทิ ความเสี่ยงที่ผู้กู้จะก่อหนี้เกินความสามารถในการชำระหนี้หรือความเสี่ยง ที่ผู้ให้กู้อาจไม่ได้รับชำระหนี้คืน ตามสัญญา เนื่องจากการให้สินเชื่อไม่ใช่การฝากเงิน ผู้ให้กู้จึงไม่ได้รับการคุ้มครองหรือความเสี่ยงที่ผู้ให้กู้ขาดสภาพคล่อง เนื่องจากไม่สามารถยกเลิกการให้สินเชื่อหรือเรียกให้ผู้กู้ชำระหนี้ก่อนครบกำหนดสัญญาได้

ที่สำคัญ P2P lending เป็นธุรกรรมการให้สินเชื่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการในวงกว้าง สัญญาสินเชื่อสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วโดยที่ผู้กู้และผู้ให้กู้ไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน จึงมีโอกาสเกิดการหลอกลวงทั้งจากแพลตฟอร์มและผู้กู้ได้

โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ P2P lending platform ให้มีการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ กรรมการหรือผู้มีอำนาจในการจัดการของแพลตฟอร์มโดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงปลอดภัย มีการคุ้มครองผู้ใช้บริการและข้อมูลส่วนบุคคล มีการเปิดเผยข้อมูลประกอบการตัดสินใจครบถ้วน

นี่คือ “โอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน” รูปแบบใหม่ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะนั่นหมายถึงการตอบโจทย์การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอีกทางหนึ่งด้วย แต่จะกลายเป็นตัวบั่นทอนกำไรผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลในปัจจุบันหรือไม่..ต้องติดตามกันต่อไป!!!

Back to top button