4 หุ้นจิ๋ว! ครึ่งปีหลังกำไรเด่น

ข่าวหุ้นธุรกิจทำการคัดสรร 4 บริษัทหลักทรัพย์กลุ่ม mai เกี่ยวข้องในเรื่องของผลประกอบการช่วงครึ่งหลังของปี 64 ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง


เส้นทางนักลงทุน

หนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ทำการคัดสรรบริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เกี่ยวข้องในเรื่องของผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ว่ายังเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องตามบทวิเคราะห์ที่ทางนักวิเคราะห์ประมินไว้ สำหรับผลการสำรวจพบว่า หุ้นที่คาดว่าครึ่งปีหลังจะยังเติบโตโดดเด่น ได้แก่ CHAYO, MGT, XO และ SUN เป็นต้น

บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO มีการประเมินจากทางบล.เคทีบีเอสที ว่าผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2564 คาดจะกลับมาขยายตัวจากการขายทรัพย์ขนาดใหญ่ 1 ทรัพย์ คิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2564 รวมทั้งรายได้ที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลงจากกองหนี้ unsecured ที่ fully amortized เพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2564

ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 249 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยจากขนาดของกองหนี้ NPL ที่บริหาร ซึ่งภายใต้บริษัท และ Chayo JV เพิ่มขึ้น 77% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งตามฐานเงินทุนที่เพิ่มขึ้น ภายหลังที่มีการ exercise CHAYO-W1 และ CHAYO-W2 ซึ่งบริษัทได้รับเงินจากการใช้สิทธิแล้วในครึ่งแรกของปี 2564 ที่ 1.12 พันล้านบาท โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท

บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT มีการประเมินจากทาง บล.โกลเบล็ก คาดว่าทิศทางผลประกอบการช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะยังเติบโตได้ เนื่องจากปัจจุบันมีออเดอร์ยาวไปจนถึงเดือน ก.ย. ประกอบกับคาดว่าจะได้แรงหนุนจากบ.ย่อย เมกาเคม พลัส ในการนำเข้าเอทานอลบริสุทธิ์เพื่อใช้ผลิตเจลล้างมือที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นในช่วงโควิ ด-19 ระบาด

ขณะที่ในส่วนของบริษัทร่วมทุนผลิตกราไฟต์กับพันธมิตรญี่ปุ่น (Megachem plus ถือหุ้น 49.51%) คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 (ยังไม่รวมในประมาณการ) นอกจากนั้นบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อทำการ M&A ในธุรกิจบริษัทจำหน่ายเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ สำหรับใช้ในเครื่องสำอาง และอาหารเสริม คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ อย่างไรก็ตามคงประมาณการรายได้ปี 2564 อยู่ที่ 823.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 105.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

แม้ผลประกอบการจะได้รับผลกระทบจากเงินบาทอ่อนค่า แต่บริษัทยังสามารถเติบโตได้ดี ประเมินราคาเหมาะสมอิงค่าเฉลี่ย PER ที่ 16.5 เท่า ได้ราคาเหมาะสมปี 2564 ที่ 4.30 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO มีการประเมินจากทางบล.เคจีไอ คาดว่ากำไรในไตรมาส 3/2564 และไตรมาส 4 ปี 2564 จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรปี 2564 เอาไว้เท่าเดิมที่ 516 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่กำไรในงวดครึ่งแรกของปี 2564 ออกมาน่าประทับใจมากที่ 260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด โดยได้ทำการล็อกราคาวัตถุดิบหลักที่ต้องใช้ อย่างเช่น พริก กระเทียม และน้ำตาล เอาไว้ล่วงหน้าไปจนถึงสิ้นปี 2565

ด้าน XO ยืนยันว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนของการผลิตซอสกัญชง ซึ่งเป็นสินค้าตัวใหม่ และจะพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าได้ก่อนสิ้นไตรมาส 3/2564 โดยบริษัทยังมีแผนจะวางจำหน่ายสินค้าอื่นที่มีส่วนผสมของกัญชงอีกในไตรมาส 1/2565 ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์กัญชงได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า โดยถือว่าดีกว่าผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปสินค้าใหม่ของบริษัทมักจะใช้เวลาประมาณสองปีในการสร้างการยอมรับจากตลาด และทำยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ จึงยังคงสมมติฐานรายได้ปีนี้เอาไว้ 1.64 พันล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ 1.88 พันล้านบาท ในขณะเดียวกันบริษัทได้เลื่อนแผนลงทุน 100 ล้านบาท เพื่อขยายสายการผลิตจากปลายปีนี้ไปเป็นกลางปีหน้าแทน เนื่องจาก XO ใช้วิธีปรับสายผลิตเดิมเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไปก่อน

ทั้งนี้ ยังคงมองเป็นบวกสำหรับ XO จากโอกาสที่จะเติบโตในระยะยาว งบดุลที่แข็งแกร่ง และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” และประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 32.75 บาท

บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN มีการประเมินจากทางบล.เคทีบีเอสที ว่าผลประกอบการครึ่งหลังของปี 2564 จะขยายตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากครึ่งแรกของปี ทั้งจาก demand ข้าวโพดหวานไทยที่ขยายตัว, ราคาขายข้าวโพดหวานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน

ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรปกติปี 2564 อยู่ที่ 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยรายได้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และรายได้ Ready to Eat ที่เพิ่มขึ้น 42% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวเป็น 17.5% ซึ่งจากปี 2563 อยู่ที่ 16.2% จาก utilization rate ของโรงงานที่ดีขึ้น สำหรับปี 2565 ประเมินกำไรปกติที่ 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากรายได้รวมขยายตัวเพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวจากค่าไฟฟ้าที่ลดลงจากโครงการ Biogas จำนวน 1 เมกะวัตต์ (ลดลง 27 ล้านบาท) อย่างไรก็ตามยังคงแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 12.00 บาท

ท้ายสุดแล้วข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการประเมินจากนักวิเคราะห์ว่าทั้ง 4 หลักทรัพย์ จะสามารถทำผลงานครึ่งหลังปี 2564 ได้อย่างโดดเด่นหรือไม่ ถึงอย่างไรภาพรวมเชื่อว่าจะเติบโตตามคาด

Back to top button